Monday, April 29, 2013

จะเข้โบราณ...


นักเล่นจะเข้โบราณ
เชื่อว่าฝีมือเล่นจะเข้ของตนล้ำเลิศที่สุด
เขาไปยังตลาด เพื่อจะแสดงฝีมือให้ประจักษ์ 
ชาวบ้านนึกว่าเขาจะมาเล่นดนตรีร่วมสมัย
จึงออกันเข้ามาจะฟัง 
แต่เสียงจะเข้โบราณนั้นนุ่มนวลและแผ่วเบาเกินไป สำหรับในตลาดอันเซ็งแซ่และวุ่นวาย..

ผู้คนจึงต่างแยกย้ายกันไปทำธุระของตน
เหลือเพียงคนเดียวที่ยังยืนฟังอยู่
นักเล่นจะเข้มีความยินดีว่ายังมีคนชื่นชมในฝีมือของตน
จึงถามว่า
"ท่านมีความเห็นประการใด โปรดวิจารณ์ด้วยเถิด?"
ชายผู้นั้นตอบว่า
"โต๊ะที่ท่านวางจะเข้อยู่นั้นเป็นของข้า
ข้าเพียงรอจะเอามันกลับบ้าน..."



ความสามารถทั้งปวง...
หากแสดงผิดที่...ผิดเวลา...
ก็ไม่ต่างจากอัญมณีในความมืด...

"ความรู้โบราณ อายุนับพันปี
ถ่ายทอดผ่านร้อยชั่วคน
แต่บางคน...ชั่วชีวิต กลับมิเคยได้รู้..."

เคล็ดลับจากศาสตร์โบราณ เพื่อคนยุคใหม่
โดย Admin : ผีเสื้อหน้าหยก
Facebook คันฉ่องสุขภาพ

ขอบคุณเนื้อหาจาก
หนังสือ "ส่องชีวิตด้วยข้อคิดจีน"
Credit Photo by
http://www.loc.gov/pictures/item/2011661257/

ถ่ายทุกๆเช้า อย่ารอสวนล้างลำไส้







ถ่ายทุกเช้า ล้างลำไส้...
ไม่ต้องรอสวนล้าง...
ป้องกันการ "เน่าใน"
ผิวใส...ไร้สิว...และไซนัส

ของเสียที่หมักหมมที่ลำไส้เมื่อย่อยแล้วรอการขับถ่ายออก
จะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดอีกครั้งที่ลำไส้ใหญ่
แก๊สและของเหลวที่ดูดซึมเข้าไป
จะทำให้ปวดศีรษะ และเป็นพิษต่อเลือด

คนที่ไม่ถ่ายท้อง จะมีอาการหายใจสั้น หายใจไม่ออก
เพราะชี่จากปอดต่อกับลำไส้
หากลำไส้ผิดปรกติปอดก็จะผิดปรกติด้วย
ผิวพรรณก็จะไม่ใส เป็นสิว ผิวมัน
เพราะเนื่องจากมีสารพิษหมักหมมอยู่ภายใน เรียกว่า "เน่าใน"
หากท้องผูกบ่อยๆ ให้ระวังไซนัส
เพราะจุดของเส้นลมปราณลำไส้ใหญ่
ต่อมาถึงข้างจมูก ชื่อว่าจุดอิ๋งเซียง

ใครมีปัญหาไซนัส
ต้องใส่ใจเรื่องการขับถ่ายให้มากนะครับ

หากเราไม่ถ่ายทุกๆ เช้า
อาหารก็จะเริ่มเน่าเสียภายในตัวเรา
เรากินทุกๆ วัน ต้องขับถ่ายทุกๆ วัน

ขอแนะนำปฏิบัติการ "กระทุ้งกากใย"
1. ตื่นขึ้นมา ดื่มน้ำขิงอุ่นๆ เพื่อเพิ่มความร้อนภายในช่องท้อง
จากนั้นเริ่มกดจุด อิ๋งเซียง อยู่บริเวณข้างจมูกดังรูป
กดเป็นจังหวะ และปล่อย ตามจังหวะการเต้นหัวใจ
นับหนึ่งถึงยี่สิบ แล้วพัก แล้วเร่ิมกดใหม่
ทำเช่นนี้จนกว่าจะอยากเข้าห้องน้ำ
วิธีนี้กดได้ทุกๆ วัน กดให้เจ็บน้อยๆ

2. หากยังไม่รู้สึกอยากจะขับถ่าย
ให้เริ่มบริหารช่องท้อง โดยการนอนราบมือขนาบกดข้างพื้น
แล้วยกขาขึ้นเป็นรูปตัวแอล วางขาลง
เหมือนกับการกระตุ้นจุดมิ่งเหมิน(วิธีนี้ช่วยให้ผอมอีกด้วย)https://www.facebook.com/photo.php?fbid=155833024579039&set=a.153415624820779.1073741828.152788904883451&type=1&theater

3.หากลำไส้ดื้อ ทั้งบริหารและกระตุ้นจุดแล้วยังไม่ขับถ่ายอีก
ให้ใช้วิธีดื่มน้ำ 5 แก้วดู การดื่มน้ำ 5 แก้วจะค่อนข้างผะอืดผะอม
สำหรับบางคน จึงแนะนำสำหรับคนที่ทำได้เท่านั้น
คือค่อยๆ ดื่มน้ำลงไปประมาณ 2-3 ลิตร ค่อยๆ ดื่มห้ามกินอาหาร
หากยังดื่มไม่หมด เมื่อน้ำเข้าไปในร่างกายในปริมาณมาก
ถ้าระบายทางปัสสาวะไม่ทัน น้ำก็จะถูกระบายออกทางอุจจาระ
ทำให้กากใยอาหารที่ตกค้างในลำไส้หลุดออกมา

วิธีนี้ไม่แนะนำสำหรับคนที่ดื่มน้ำไม่ได้มาก
ไม่ควรมีโรคประจำตัวใดๆ ที่ดื่มน้ำไม่ได้เยอะ หรือมีอาการบวมน้ำ
ทำเฉพาะช่วงเช้าเท่านั้น หากเป็นริดสีดวง ให้ทำเช่นนี้ติดต่อกันสักสัปดาห์
แล้วดูอาการ จะลดการอักเสบบวมได้มากทีเดียว
เนื่องจากลำไส้ได้พักตัว สุดท้ายก้อนริดสีดวงที่ปูดออกมาจะหดกลับไปเอง
เมื่อลำไส้สะอาดและถ่ายเป็นปรกติแล้ว ไม่ต้องทำทุกๆวัน
เพราะการดื่มน้ำทีละมากๆ กระทบไตและกระเพาะปัสสาวะเช่นกัน

4. สุดท้ายลองเอาผักผลไม้เข้าไปช่วยดู
เพราะว่า กากใยที่มาจากโปรตีน(เนื้อสัตว์)
และ คาร์โบไฮเดรต(แป้ง) จะสามารถรัดตัวเป็นก้อนเหนียวได้
ต้องกินผักผลไม้มากๆ เข้าไป
ผักผลไม้เหล่านี้จะไปกัั้นการรัดตัวของกากใยให้ขับถ่ายง่ายขึ้น
ผมแนะนำ ส้มโอ มะขาม ช่วยในการระบายได้ดี

หากปวดท้องถ่าย ต้องถ่ายทันที อย่าอั้นนะครับ
ไม่เช่นนั้นร่างกายจะขับถ่ายไม่เป็น

คนเรากินทุกๆวัน... ก็ต้องถ่ายทุกๆวัน....

"ความรู้โบราณ อายุนับพันปี
ถ่ายทอดผ่านร้อยชั่วคน
แต่บางคน...ชั่วชีวิต
กลับมิเคยได้รู้..."

เคล็ดลับจากศาสตร์โบราณ เพื่อคนยุคใหม่
โดย Admin : ผีเสื้อหน้าหยก
Facebook คันฉ่องสุขภาพ
Credit Photo by
http://www.pillfreevitamins.com/coloncleanse.htmhttp://www.chinesemedicine4you.com/?p=135http://www.wellness.uci.edu/water.htmlhttp://bloginabottle.com/uncategorized/slowfastfood.html

ยืดเส้น... สายตา... แก้อาการตึง บ่า ไหล่



จากที่ได้แนะนำไป สองวิธี
ยังไม่พอที่จะแก้อาการตึงจากการใช้สายตาได้
จึงขอแนะนำวิธีการยืดเส้นเพื่อการมองเห็น

ที่แนะนำไปคือ ดึงเลือด บำรุงตา รักษาสมอง (ใช้ก่อนนอน)
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=165878880241120&set=a.153415624820779.1073741828.152788904883451&type=1&theater

กับ เจียระไนตา ระหว่างวัน
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=165785940250414&set=a.153415624820779.1073741828.152788904883451&type=1&theater

การมองเห็นของเราถูกค้ำยันจากเส้นชี่หลากหลายเส้น
เริ่มต้นของวันใหม่ เราจึงควรยืดเส้นเหล่านี้ไว้
ช่วยให้สายตาชัดเจน ความคิดจะแจ่มชัด

เส้นลมปราณที่สำคัญมากของการมองเห็นคือ
เส้นลมปราณกระเพาะปัสสาวะ
เพราะเส้นลมปราณนี้เร่ิมต้นจากที่หัวตา
ไปจรดที่เท้าเลยทีเดียว
และเส้นลมปราณนี้เองเป็นเส้นลมปราณที่มีจุดฝังเข็มมากที่สุด

คนที่มีปัญหาสายตา ตาพร่า
มักสัมพันธ์กับเส้นกระเพาะปัสสาวะนี้
เพราะเมื่อร่างกายขาดน้ำ
ปัสสาวะก็จะเหลือง เส้นลมปราณนี้จะเกิดเหนี่ยวรั้ง
บางคนเป็นถึงกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
พอเป็นบ่อยเข้า ก็กระทบที่ตา

"คนโบราณจึงกล่าวว่า
อั้นฉี่... ตาจะบอด...."

เพราะเส้นลมปราณมันถึงกันจริงๆ
หากเส้นนี้ตึงรั้ง การมองจะยิ่งต้องเพ่งมากขึ้น
ทำให้ปวดศีรษะ พร่ามัวง่าย
เพื่อป้องกันควรยืดเส้นที่เกี่ยวกับสายตานี้เอาไว้

วิธีการยืดเส้นลมปราณเพื่อบริหารสายตาก็คือ

ยืนตัวตรงอกผาย แขนแนบลำตัว
ความรู้สึกอยู่ที่สายตา
วาดแขนชี้ขึ้นข้างตัว เหยียดตรงขึ้นไปเหนือศีรษะ
ตามองที่หัวแม่มือ หายใจเข้า
สังเกตเส้นด้านหลังที่ต่อกับตวงตาจะยืดออก
เส้นนี้เป็นเส้นกระเพาะปัสสาวะ ต่อกับหัวตาที่จุดจิงหมิง
พยายามยืดให้สูงที่สุดเท่าที่จะยืดได้
จะช่วยยืดบ่า ไหล่ที่เกิดจากการตึงจากการเพ่งสายตา


จากนั้นวาดมือลง พับตัวลง เอามือแตะปลายเท้า
หากแตะไม่ถึงให้งอเข่าจนแตะถึง พร้อมหายใจออก
ถ้าทำได้ เส้นกระเพาะปัสสาวะจะยืดได้ตลอดเส้น
ช่วยผ่อนคลายลดอาการตึงจากสายตา

ฝึกไว้ทุกๆเช้า นะครับ

ผมได้แนะนำวิธีบำรุงสายตาไว้ทั้งเช้า กลางวันและก่อนนอนแล้ว
ลองติดตามทำให้สม่ำเสมอนะครับ

ขอให้ทุกๆคนได้เป็นเจ้าของ...
ดวงตาที่แข็งแรง สายตาที่ผ่อนคลาย

แด่ดวงตาทุกคู่

"ความรู้โบราณ อายุนับพันปี
ถ่ายทอดผ่านร้อยชั่วคน
แต่บางคน...ชั่วชีวิต กลับมิเคยได้รู้..."

เคล็ดลับจากศาสตร์โบราณ เพื่อคนยุคใหม่
โดย Admin : ผีเสื้อหน้าหยก
Facebook คันฉ่องสุขภาพ


ขอบคุณรูปจาก
http://www.fitsugar.com/latest/eye-health

ดึงเลือด...บำรุงตา... รักษาสมอง...



เด็กตาดำ... ปากแดง...
โบราณว่าเป็นเด็กที่เก่งกาจ
ตายิ่งดำขลับ ดูลึกล้ำมีประกาย
สะท้อนถึงสมองที่มีพลัง
(ส่วนปากแดงมีใครเดาได้ไหมครับว่าหมายถึงอะไร?)

"ดวงตาเราต่อกับสมอง
หากสมองดี ดวงตาแจ่มชัดเป็นประกาย
เมื่อใดสมองขาดออกซิเจน
ดวงตาก็จะเบลอให้เห็นเช่นกัน"

ในกลางวันหากดวงตาเราอ่อนล้า
ได้แนะนำวิธีผ่อนคลายดวงตาระหว่างวันไปแล้ว
ตามลิงค์นี้เลยครับ
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=165785940250414&set=a.153415624820779.1073741828.152788904883451&type=1&theater

ตอนนี้ให้ลองกลับมาทำตามแบบเมื่อกลางวันก่อน
แล้วจึงค่อยดึงเลือด...มาบำรุงตา...

เริ่มด้วยการนอนราบบนเตียง

นอนที่ขอบที่นอน ห้อยส่วนเฉพาะกระหม่อมศีรษะลงมา
ไม่ต้องห้อยทั้งหัวเพราะจะมึนได้
เอาแค่ส่วนกระหม่อมก็พอ
ยกขาขึ้นพาดกำแพงหรือหัวเตียง
ช่วยให้เลือดมาเลี้ยงสมองมากขึ้น

หลับตา เอาฝ่ามือทั้งสองวางซ้อนกัน
กดลงที่กลางกระหม่อมศีรษะ
แล้วหมุนฝ่ามือวนตามเข็มนาฬิกา
เลือดที่ไหลลงมาเลี้ยงศีรษะจะถูกกระจายออก
ไปหล่อเลี้ยงจุดสำคัญต่างๆ ทั้้งห้าบนศีรษะที่ถูกกดและหมุนอยู่บริเวณนั้น
อันได้แก่ จุดไป๋ฮุ้ย และจุดซื่อเสินชงทั้งสี่จุด
ซึ่งตัดกันกับสมองและต่อถึงดวงตา

สังเกต ทุกๆจุดที่หมุนให้สะเทือนถึงดวงตา
หากมีอาการหาว น้ำตาไหล ถึือว่าดีมาก

ทำเช่นนี้ก่อนนอนทุกๆ คืน จะช่วยบำรุงสมองและดวงตา

แบ่งปันเคล็ดลับก่อนนอนให้แก่กันนะครับ

"ความรู้โบราณ อายุนับพันปี
ถ่ายทอดผ่านร้อยชั่วคน
แต่บางคน...ชั่วชีวิต กลับมิเคยได้รู้..."

เคล็ดลับจากศาสตร์โบราณ เพื่อคนยุคใหม่
โดย Admin : ผีเสื้อหน้าหยก
Facebook คันฉ่องสุขภาพ

Credit photo by :www.joblox.com

เจียระไน... ดวงตา... ระหว่างวัน... สำหรับคนใช้สายตามาก...



แสงทั้งหลายทำให้ดวงตาพร่ามัว
การนั่งหน้าคอมพิวเตอร์นานๆ
แสงนีออนในออฟฟิส
แสงในห้างสรรพสินค้า
ทำให้เกิดอาการตาแห้ง ไม่สู้แสง และไม่สู้ลม

แสงสีอะไรที่ทำร้ายดวงตาได้มากที่สุด?
คำตอบก็คือ สีของธาตุทองครับ ซึ่งก็คือ "สีขาว"
ดังนั้นแสงขาวจะทำให้ตาอ่อนล้าได้่ง่ายที่สุด
ที่ๆขาวสว่างเกินไป ธาตุทองเด่นมากเกิน
ต้องเอาสีเขียวมาตัดเพื่อถนอมดวงตา

ตาเป็นอวัยวะทวารของธาตุไม้
สะท้อนจากอวัยวะตับและถุงน้ำดี
(หากคนเป็นโรคตับ ตาจะเหลือง)
การรักษาดวงตาธาตุไม้คือ
อาศัยสีของธาตุไม้ช่วยในการถนอมดวงตา
ดังนั้นหากต้องจ้องมองแสงสว่างนานๆ
ควรพักสายตาด้วยการมองสีเขียวของใบไม้
ควรเอาต้นไม้เล็กๆ ไว้ใกล้ตัว (เป็นต้นไม้ปลอมก็ได้)

การบริหารดวงตาทำได้อย่างไร
เอาฝ่ามือวางไว้บนกระหม่อม
อีกมือ โอบที่ท้ายทอย
สังเกตดูว่าจะร้อน หากดวงตาทำงานหนัก
ลืมตาขึ้น เหลือกตาขึ้นด้านบน
แล้วค่อยๆ มองลึกไปทางขวาสุดก่อน
วนลงมาด้านล่าง แล้วมองไปทางซ้าย
แล้วค่อยกลับขึ้นบน
แล้ววนกลับ 5 รอบ
ช้าๆ เนิบๆ
จากน้ันจ้องมองต้นไม้สีเขียว นับสิบลมหายใจ
หากมีความรู้สึกอยากหาว ให้หาวออกมา
น้ำตาไหลเอ่อออกมาถือว่าใช้ได้

ทำใหม่ซ้ำสักสามรอบ...

ระหว่างการกลอกตา แล้วท้ายทอยรู้สึกขยับตามถึือว่าใช้ได้
เพราะกระทบต่อจุดเฟิงฉือ และเทียนจู้
ซึ่งเป็นจุดที่ต่อกับเส้นลมปราณทางด้านหางตา และหัวตา ตามลำดับ

คนที่ใช้สายตามาก
จะปวดบ่า คอ ไหล่ หลังร่วมด้วย
แล้วคืนนี้มาต่อเรื่องการกายบริหารดวงตาเต็มรูปแบบก่อนนอนกันนะครับ

อัญมณีทั้งหลาย...
คงมิอาจเทียบค่ากับแก้วตาทั้งสอง...
แบ่งปันเคล็ดลับนี้ให้แก่กันนะครับ

"ความรู้โบราณ อายุนับพันปี
ถ่ายทอดผ่านร้อยชั่วคน
แต่บางคน...ชั่วชีวิต กลับมิเคยได้รู้..."

เคล็ดลับจากศาสตร์โบราณ เพื่อคนยุคใหม่
โดย Admin : ผีเสื้อหน้าหยก
Facebook คันฉ่องสุขภาพ


Credit Photo by
http://junket.igetweb.com/articles/41956682/igetweb-วิธีทำตาสีฟ้า.html

กินมากเกิน... แต่ยังผอม... ความทุกข์ใจ ที่ไม่ต่างจากคนกินน้อย แต่ก็ยังอ้วน...



เนื่องจากการเผาผลาญในร่างกายที่สูงเกินไป
ทำให้คนผอมต้องการพลังงานอยู่เสมอ

แต่การที่กินอาหารมากเกินไป
หรือกินหวานมากๆ เกินไป
ทำให้ร่างกายขาดพลังงานได้

เพราะกลไกของร่างกาย เมื่อได้รับน้ำตาลเข้ามาในกระแสเลือด
จะปล่อยฮอร์โมนที่ชื่อ อินซูลินออกมาเอาน้ำตาลกลับเข้าไปสู่เซลล์
ฮอร์โมนนี้ จะออกมามากหรือน้อย เนื่องจากปริมาณน้ำตาลในกระแสเลือดเป็นตัวเร่งเร้า
หากเรากินมากเกิน หรือกินหวานมากๆ เกิน อินซูลินก็จะถาโถมออกมามากเกิน
แล้วมาจัดการน้ำตาลปริมาณมหาศาลให้หมดไป
เมื่อน้ำตาลหมดไป อย่างรวดเร็ว
เราก็จะเกิดอาการขาดน้ำตาลอีก
ช่วงนี้เราจะเกิดอาการเพลีย เหมือนคนขาดพลังงาน
ทำให้อยากกินอีก....

ข้าวกล้องเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน
ที่ค่อยๆเปลี่ยนแป้งเป็นน้ำตาล
จะไม่ทำให้น้ำตาลในร่างกายสูงมากเกินไป
และฮอร์โมนอินซูลินก็จะไม่หลั่งออกมามากทีเดียว
ทำให้เราอิ่มนานขึ้น
ไม่เกิดอาการกวัดแกว่งของน้ำตาล
ทำให้หิวบ่อย

แต่คนผอม ไม่ว่าจะให้กินข้าวกล้องหรือข้าวขาว
เขาก็ยังติดนิสัยกินเยอะ อยู่ดี
เพราะสมองเขาเคยชินกับคำว่ายังไม่อิ่ม
ทำให้ปริมาณน้ำตาลที่ได้มาจากข้าวกล้อง
ก็ยังมากอยู่ดี แม้ว่ามันจะค่อยๆ สลายตัวเป็นน้ำตาล

เราต้องการให้น้ำตาลไม่กวัดแกว่งในกระแสเลือดมากเกินไป
เพื่อยุติอาการกินเหมือน"ปอบ"
แนะนำให้ดื่มน้ำข้าวกล้อง
เพราะน้ำข้าวกล้องจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นน้ำตาล
และเนื่องจากอยู่ในรูปแบบน้ำข้าว
สามารถดื่มได้ทั้งวัน
น้ำตาลในเลือดจะไม่กวัดแกว่ง
สุดท่้ายจะเลิกอาการกินคราวละมากๆลงได้

เมื่อเลิกกินคราวละมากๆ ได้
ก็จะสามารถเริ่มแก้และป้องกันปัญหาผอม แต่ลงพุงได้ด้วย

วิธีการทำน้ำข้าวกล้อง
เอาข้าวกล้องมาหุงสุก แล้วเก็บไว้ในช่องแข็งตู้เย็น
แบ่งเป็นถุงเล็กๆ
เมื่อต้องการกินในแต่ละวัน ก็เอามาใส่น้ำร้อนจัด
เอาไปกินที่ทำงานหรือที่บ้านก็ได้
หรือจะซื้อแบบสำเร็จรูปก็ได้ครับถ้าไม่สะดวก

หากไม่เลิกนิสัยกินมากๆได้
ไม่ว่าผอม หรืออ้วน ก็ลงพุงเหมือนกัน

อนึ่ง คนผอม นี้ร่างกายบางคนร้อนง่าย
ต้องกินผักเข้าไป เพื่อลดความร้อนในร่างกายไม่ให้เสื่อมเร็วเกินอีกด้วย

ไฟที่ลุกโชนอยู่ย่อมกระหายเชื้อ...เป็นธรรมดา
จงเรียนรู้วิธีคุมไฟในตัวให้สมดุล..

น้ำตาล เปรียบเหมือน "ฟาง"
แป้ง เปรียบเหมือน "กิ่งไม้แห้ง"
ข้าวกล้อง เปรียบเหมือน "ท่อนฟืน"
ผัก เปรียบเหมือน "ไม้สด"


แค่อยากให้...ทั้งคนอ้วนและคนผอม
ได้แชร์ความรู้สึกร่วมกัน....


"ความรู้โบราณ อายุนับพันปี
ถ่ายทอดผ่านร้อยชั่วคน
แต่บางคน...ชั่วชีวิต กลับมิเคยได้รู้..."

เคล็ดลับจากศาสตร์โบราณ เพื่อคนยุคใหม่
โดย Admin : ผีเสื้อหน้าหยก
Facebook คันฉ่องสุขภาพ

ขอบคุณรูปจาก
http://www.thai-publish.com/25166/ผอมได้-ผอมจริง-ผอมเร็ว-ไม่โทรม-ไม่กลับมาอ้วนอีก-ไม่ใช่ยา-เหมาะมากสำหรับคนรักการกิน-ไม่ต้องอดอาหาร-ปลอดภัยมากกก.html#.UXSgG8saySM

เพราะเรานั้นต่างกัน....


คนที่คิ้วโหนกนูน
มักเป็นคนโกรธง่าย อารมณ์รุนแรง ฉุนเฉียวง่าย
เปรียบได้กับแมงป่อง ชูหางวางท่า
พร้อมจะต่อยได้ทุกเมื่อ
คนขี้โกรธ พลังตับค่อนข้างสูง
ประโยชน์คือ ฮึกเหิม ไม่เกรงกลัว
แต่ต้องควบคุมอารมณ์ของตัวเองให้ได้

คนที่คิ้วโก่งโค้งตากลมโต
ธาตุน้ำสมบูรณ์ มีเสน่ห์ มองโลกในแง่ดี
เข้ากับคนง่าย เป็นที่หมายปองของคนทั่วไป
เปรียบได้กับ ดอกไม้ผลิบาน
ควบคุมเสน่ห์ของคุณให้ดี
จะไม่ทำให้ใครต้องปวดใจเพราะความใจดีของคุณ

คนที่หัวตาแหลมคม
พลังธาตุไฟจะไหลลงสู่ดวงตาและลิ้น
เปรียบได้กับงูเห่าที่อมพิษไว้ในปาก
ต้องระวังวาจาเวลาอยู่กับมิตรให้ดี
เพราะเราอาจทำร้ายเขาได้โดยไม่ตั้งใจ

บางคนทำทุกอย่าง...เพื่อคนที่รัก...
บางคนก็ช่วยโดยไม่หวังผลตอบแทน...
บางคนกลับทำร้ายตัวเอง...เพื่อให้คนที่รักแค่สนใจ...

เพราะธรรมชาติของเราต่างกัน
เราจึงต้องเรียนรู้และเข้าใจตัวเอง

ดังเรื่องเล่าต่างๆที่มีมา
"ชาวนากับงูเห่า...
หิ่งห้อยกับแมงมุม...
กบน้อยกับแมงป่อง...
ไม้ขีดไฟกับดอกทานตะวัน..."


หมายเหตุ
นิทานเซ็นครับ แมงป่องให้กบน้อย พาข้ามฝั่งทั้งๆที่กลัวแมงป่องต่อย แมงป่องบอกว่า ถ้าต่อยฉันก็ต้องจมน้ำตายเหมือนกัน แต่สุดท้าย แมงป่องก็อดไม่ได้ที่ต่อยกบตาย เพราะมันเป็นธรรมชาติของแมงป่อง

ส่วน หิ่งห้อยกับแมงมุม นั้นมาจากเพลง "นิทานหิ่งห้อย" ครับ

ส่วนไม้ขีดไฟ ก็ยอมจุดตัวเอง ให้ดอกทานตะวันละสายตาจากดวงตะวันหันมามองตนบ้าง TT

"ความรู้โบราณ อายุนับพันปี
ถ่ายทอดผ่านร้อยชั่วคน
แต่บางคน...ชั่วชีวิต กลับมิเคยได้รู้..."

เคล็ดลับจากศาสตร์โบราณ เพื่อคนยุคใหม่
โดย Admin : ผีเสื้อหน้าหยก
Facebook คันฉ่องสุขภาพ


Credit photo by
http://www.kanphotoclub.com/clubboard/index.php?topic=1512.0

Saturday, April 20, 2013

สมองหิว...แต่ท้องอิ่ม... คนผอมก็... ลงพุงได้....


คนพวกนี้ใช้ความคิดมากครับ
ส่วนใหญ่พวกนี้จะผอมแล้วการเผาผลาญดี
แต่จะลงพุงได้ง่าย
จะชอบกินจุบจิบทั้งวัน
เพราะสมองของเขาต้องการพลังงาน(น้ำตาล)
ไปช่วยในกระบวนการคิดมากกว่าคนทั่วไป

รวมถึงคนเครียด คนกังวล
พวกนี้สมองก็ทำงานหนักกว่าปรกติ

คนที่สมองหิว แต่ท้องอิ่ม
จะกินได้มาก กินได้บ่อยกว่าปรกติ
สมองต้องการน้ำตาล
แต่อาหารเรากลับมีไขมันผสมอยู่
ดังนั้นหากเรากินบ่อยขึ้นบ่อยขึ้น
น้ำตาลถูกเอาไปใช้
แต่ไขมันไม่ได้เอาไปใช้
ก็จะสะสม เป็นพุงยื่นออกมา

วิธีสังเกตว่าเราเป็นหรือเปล่า
ถ้าท้องหิว ท้องจะเบา
บางครั้งมีเสียร้อง
แสดงว่ากระเพาะพร้อมย่อย
กินตอนนี้ไม่ก่อให้เกิดปัญหา

แต่สมองหิว แม้ท้องจะเต็ม
จะรู้สึกกระหาย อยากนู่นนี่
ไม่ค่อยมีสมาธิ
หงุดหงิดง่าย

การแก้ให้สมองหายหิวเป็นไปไม่ได้
หากให้กินน้ำตาลอย่างเดียว
ต่อไปก็จะติดน้ำตาล
คนกลุ่มนี้แนะนำให้ดื่มน้ำข้าวกล้องระหว่างวัน
เพราะช่วงกลายเป็นน้ำตาลสำรองอย่างช้าๆ
ได้ดีกว่าน้ำตาลครับ

การที่ใ่ช้กำลังสมองมาก
แนะนำว่ายังไงก็ต้องออกกำลังส่วนร่างกาย
ให้ควบคู่กันไป
ความร้อนในร่างกายที่เกิดขึ้น
จากความคิดความเครียด
จะถูกระบายออกไปทางเหงื่อ
ทำให้หลับง่าย ร่างกายกลับสู่ในสภาวะสมดุล
ไม่มีการสะสมไขมันให้ลงพุง

สำหรับคนที่เป็นเช่นนี้ อย่าประมาทนะครับ
เพราะเมื่อลงพุงแล้วจะลดยากมาก

สำหรับ่คนที่ลงพุงเช่นนี้ แนะนำให้กระตุ้นจุดมิ่งเหมิน
จะช่วยเพิ่มการเผาผลาญที่ส่วนร่างกายได้ครับ
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=155833024579039&set=a.153415624820779.1073741828.152788904883451&type=1&theater

ใช้สมองมาก ควรออกกำลังกายให้มาก

"ความรู้โบราณ อายุนับพันปี
ถ่ายทอดผ่านร้อยชั่วคน
แต่บางคน...ชั่วชีวิต กลับมิเคยได้รู้..."

เคล็ดลับจากศาสตร์โบราณ เพื่อคนยุคใหม่
โดย Admin : ผีเสื้อหน้าหยก
Facebook คันฉ่องสุขภาพ

Credit photo by
http://angrytrainerfitness.com/2012/03/ask-alfonso-do-belly-fat-workouts-diets-really-work/

คนผอม....ก็อยากอ้วน... ความทุกข์ของคนเอวบางร่างน้อย...



คนอ้วนมีสองประเภท
คนผอมก็มีสองแบบเช่นกัน
คือแบบร้อน กับแบบเย็น

ผอมแบบแรกคือ ผอมแบบร้อน
กลุ่มพวกนี้จะกินเก่ง กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน
พวกนี้คิดเร็ว พูดเร็ว ทำเร็ว
บางคนชอบนั่ง สั่นขา อยู่นิ่งๆ ไม่ได้
ธาตุไฟร้อนแรง เผาผลาญอาหารเกลี้ยง
พวกนี้ต้องระวัง เมื่อถึงจุดหนึ่งของชีวิต
การเผาผลาญจะลดลง
แต่ติดนิสัยกินมากเหมือนเคย
ส่งผลให้จะอ้วนลงพุงอย่างรวดเร็ว ทั้งๆ ที่ร่างกายยังผอมอยู่
ทำให้มีลักษณะเหมือนกับ "่ชูชก"

การเพิ่มน้ำหนักสำหรับคนผอมแล้ว
ยากมากกว่ากว่าการลดน้ำหนักของคนอ้วน
ถ้าเพิ่มไม่เป็น มันจะลงพุง...

น้ำตาลในร่างกายของคนพวกนี้จะกวัดแกว่งมาก
เพราะกินทีละมากๆ ทำให้ฮอร์โมนอินซูลินหลั่งออกมามาก
และน้ำตาลในร่างกายก็จะลดลงอย่างรวดเร็ว
เพราะเอาน้ำตาลไปใช้หมด
ทำให้เพลีย และอยากอาหารอย่างมากอีกครั้ง

หากต้องการแก้อาการ"สะบัดหิว"นี้
แนะนำดื่มน้ำข้าวกล้องยิ่งดี
น้ำข้าวจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นน้ำตาล
ไม่ทำให้น้ำตาลกวัดแกว่ง
จะลดอาการกินมากๆลง

ร่างกายจะไม่ขาดน้ำตาล
ทำให้อาหารที่กินเข้าไปเอาไปสร้างเนื้อเยื่อได้

เคยได้ยินสมัยก่อนไหมครับว่า
เวลาปู่ยาตายายเราหุงข้าวแบบเช็ดน้ำ
น้ำที่รินออกมาให้สุนัขกิน สุนัขก็ยังอ้วนเลย

กลุ่มที่สองคือผอมแบบเย็น
พวกนี้เลือดน้อย มือเย็นเท้าเย็นง่าย
กินไม่ค่อยเก่ง
ไม่อยากอาหาร
กลุ่มนี้แนะนำให้ต้องบำรุงเลือด
โดยใช้วิตามินบี
จะช่วยทำให้กินข้าวเก่งขี้น กินอร่อยขึ้น
และใช้ยาบำรุงเลือดธาตุเหล็กทั่วๆไป

เคยได้ยินไหมครับว่า
บริจาคเลือดบ่อยๆ แล้วอ้วน
เพราะเขาจะแจกอาหารเสริมบำรุงเลือดมาให้อีกด้วย

คนผอมแบบเย็นนี้ก็ให้ดื่มน้ำข้าวกล้อง
บ่อยๆ ด้วยเช่นกันครับ
ในข้าวกล้องมีวิตามินบีอยู่แล้ว
ดื่มทั้งวันเลย
ทำให้น้ำตาลไม่กวัดแกว่ง
สามารถกลับมาสมบูรณ์ได้


เนื่องจากบทความชุดคนผอมแล้วอยากอ้วนนี้มีเรื่องที่จะพูดถึงค่อนข้างยาว
จะแบ่งออกเป็นส่วนๆนะครับคือ
1. ดื่มน้ำข้าวกล้องทั้งวัน กับกินข้าวกล้องต่างกันอย่างไร
และเทคนิควิธีการทำข้าวกล้องไว้ดื่มทั้งวันต่อไป
2. ลดพุงคนผอมทำได้อย่างไร
3. การออกกำลังเพิ่มกล้ามเนื้อสำหรับคนผอม

คนผอมที่มีธาตุไฟสูง
หากต้องการเพิ่มน้ำหนัก
ก็เหมือนกับใส่ฟืนเข้าไปในกองไฟที่ลุกโชน
ยิ่งใส่เข้าไป... ไฟกลับยิ่งกินฟืน...

บทความที่น่าจะเกี่ยวข้องนะครับ
คนอ้วนสองประเภท
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=157190367776638&set=a.153415624820779.1073741828.152788904883451&type=1&theater

จุดบำรุงเลือด
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=161189584043383&set=a.153415624820779.1073741828.152788904883451&type=1&theater


"ความรู้โบราณ อายุนับพันปี
ถ่ายทอดผ่านร้อยชั่วคน
แต่บางคน...ชั่วชีวิต กลับมิเคยได้รู้..."

เคล็ดลับจากศาสตร์โบราณ เพื่อคนยุคใหม่
โดย Admin : ผีเสื้อหน้าหยก
Facebook คันฉ่องสุขภาพ


Credit Photo by
http://indologygoa.wordpress.com/2011/10/21/being-too-skinny-damages-fertility-more-than-obesity/

กินหวานแล้วหยุดไม่อยู่ จึงอ้วนเอา... อ้วนเอา...




คนที่ติดน้ำตาล
จะมีอาการเพลียเมื่อขาดน้ำตาล
จึงต้องทานของหวาน เป็นวงจรซ้ำไปซ้ำมา
อินซูลินที่ถูกผลิตออกมามาก
และการถูกกระตุ้นบ่อยๆให้ต่อมผลิตอินซูลินทำงานมากเกิน
จะทำให้เซลล์ในร่างกายมีความไวต่ออินซูลินน้อยลง
ไม่ตอบสนองความหวานที่เข้ามาในร่างกายได้เหมือนเช่นเคย

จึงต้องกินมากขึ้น...กว่าจะรู้ว่ากิน...

ดังนั้น
ไม่เพียงแต่ต้องกินหวานๆ ทั้งวัน
คนกินหวานยังต้องกินมากขึ้นเรื่อยๆ
หยุดยั้งตัวเองยากขึ้นเรื่อยๆ
แล้วอ้วนมากขึ้นเรื่อยๆ

เราต้องชะลอของหวานลง!

แต่ถึงขั้นนี้แล้วคงงดไม่ได้
เดี๋ยวเพลียหนัก อาจจะลงแดงได้;)
ผมเลยขอแนะนำว่า
เริ่มแรกก็กินมันไป
แต่ทานพร้อมกับอาหารที่ชะลอการดูดซึมน้ำตาลได้ซิครับ
นั่นก็คือ "ข้าวโอ๊ต"
ข้าวโอ๊ต เป็นอาหารที่มี ไกลซีมิกอินเด็กซ์ต่ำ
ดูดซึมช้า เป็นปฏิปักษ์ต่อการดูดซึมน้ำตาลที่รวดเร็วของอาหารหวานๆได้
หากกินของหวานไปแล้ว ดื่มข้าวโอ๊ตชงตามไป
จะช่วยทำให้น้ำตาลดูดซึมช้าลง

หากต้องการปรับเปลี่ยนตัวเอง
เวลาอยากหวานๆ
ลองกินดูสักสองสามคำให้หายอยาก
เคี้ยวให้ช้าๆ ให้สมองรับรู้ว่ากินแล้วนะ!
แล้วดื่มน้ำข้าวโอ๊่ตตามลงไปดูนะครับ

ทุกสิ่งมีคู่ปรับกันเสมอ...

"ความรู้โบราณ อายุนับพันปี
ถ่ายทอดผ่านร้อยชั่วคน
แต่บางคน...ชั่วชีวิต กลับมิเคยได้รู้..."

เคล็ดลับจากศาสตร์โบราณ เพื่อคนยุคใหม่
โดย Admin : ผีเสื้อหน้าหยก
Facebook คันฉ่องสุขภาพ

ขอบคุณรูปจาก
http://pogoagogo.blogspot.com/2007/12/fuck-off-im-full.html

อิ่มเร็ว...ด้วยของหวาน สกัดจุดหยุด...อยาก...



เคยได้ยินผู้ใหญ่บอกไหมครับว่า
"อย่ากินของหวาน ก่อนของคาว"

การตบท้ายด้วยของหวาน
ในมื้ออาหารแต่ละมื้อนั้น
ทำให้เรารู้สึกอิ่ม
เพราะน้ำตาลจากของหวาน
สามารถเปลี่ยนไปเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว
ได้เร็วกว่าอาหารชนิดอื่นๆที่เราทานเข้าไปก่อนหน้า
สมองจะได้รับน้ำตาลแล้วทำให้เรารู้สึกอิ่ม
กระบวนการย่อยจะค่อยๆลดลง
เพื่อบอกให้ร่างกายรู้ว่า กินพอแล้ว

แต่ถ้าหากเอาของหวาน
มารับประทานก่อนอาหารมื้อหลัก
จะทำให้เราอิ่มก่อนกิน
กรดในกระเพาะก็ไม่หลั่งออกมาอย่างพอเหมาะ
อาหารที่กินไปก็จะย่อยไม่สมบูรณ์
ตกค้างที่ลำไส้เป็นของเน่าเสียในที่สุด
เมื่อร่างกายขับของเสียเหล่านั้นออกผ่านทางผิวหนัง
ทำให้เกิดสิว มีกลิ่นตัว

หากต้องการให้อิ่มเร็ว...
ควรกินอาหารแต่ละมื้อไปได้สักครึ่งหนึ่งของที่ควรจะอิ่ม
แล้วจึงค่อยตามด้วยของหวานสัก"เล็กน้อย"
สมองจะรู้สึกอิ่มพอดี...

การคุมความอิ่มด้วยของหวานเช่นนี้
จะทำให้เราทรมานน้อยลงอีกด้วยครับ

ปล.ถ้าหากใครกินของหวานแล้วยังหยุดไม่อยู่
แสดงว่าร่างกายอาจเกิดภาวะดื้ออินซูลินนะครับ
ต้องระวังโรคเบาหวานเอาไว้ให้ดีๆ

เหรียญมีสองด้าน...
ดาบมีสองคมเสมอ...

"ความรู้โบราณ อายุนับพันปี
ถ่ายทอดผ่านร้อยชั่วคน
แต่บางคน...ชั่วชีวิต กลับมิเคยได้รู้..."

เคล็ดลับจากศาสตร์โบราณ เพื่อคนยุคใหม่
โดย Admin : ผีเสื้อหน้าหยก
Facebook คันฉ่องสุขภาพ


Credit photo by
http://kitchencourses.com/super-easy-desserts/

อาการติดน้ำเย็น... ยิ่งกิน ยิ่งร้อน...



ร่างกายของเรามีอุณหภูมิประมาณ 37 องศาเซลเซียส
อุณหภูมินี้ค่อนข้างอุ่นมากนะครับ
และเป็นอุณหภูมิที่เอนไซม์ต่างๆ ทำงานได้ดีที่สุด

หากเราดืื่มน้ำเย็นเข้าไป
ร่างกายของเราก็ต้องผลิตความร้อนออกมาสู้
นานวันเข้าร่างกายเคยชินกับการผลิตความร้อน
ก็กลายเป็นคนขี้ร้อน
อยู่ที่เย็นๆ เปิดแอร์เย็นๆ
เหงื่อออกง่าย
ยิ่งร้อน ก็ต้องดื่มน้ำเย็น
กลายเป็นคนติดน้ำเย็นในที่สุด

วิธีการแก้อาการลดความร้อนที่ผลิตออกมามากเกิน
คือ หัดดื่มน้ำร้อนครับ
ดื่มแล้วเหงื่อจะออกในช่วยแรก
จากนั้นร่างกายจะลดการผลิตความร้อนลดลงเอง และปรับสมดุลได้ใหม่
ผลที่ดีมากคือจะเป็นคนที่ทนกับอากาศที่ร้อนๆได้ด้วย

สำหรับคนที่ทำตามวิธีนี้ไม่ได้นะครับ
ตามไปอ่านเคล็ดลับดื่มน้ำเย็นสำหรับคนติดน้ำเย็นได้เลย

https://www.facebook.com/photo.php?fbid=161769050652103&set=a.153415624820779.1073741828.152788904883451&type=1&theater

บทความเกี่ยวข้องที่แนะนำ
คนเหงื่อออกง่าย
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=156966417799033&set=a.153415624820779.1073741828.152788904883451&type=1&theater


"ความรู้โบราณ อายุนับพันปี
ถ่ายทอดผ่านร้อยชั่วคน
แต่บางคน...ชั่วชีวิต กลับมิเคยได้รู้..."

เคล็ดลับจากศาสตร์โบราณ เพื่อคนยุคใหม่
โดย Admin : ผีเสื้อหน้าหยก
Facebook คันฉ่องสุขภาพ


Credit photo by
http://www.firenicehvac.net/

ติดน้ำตาลกันหรือยัง?


อ้วนและไม่อ้วนก็ติดน้ำตาลได้...
สำหรับคนที่ต้องการจะลดความอ้วนแล้ว
นี่คือ ปราการด่านแรกๆที่ต้องทำให้ได้ก่อนลดน้ำหนัก

อาการติดน้ำตาลก็คือ
เราจะรู้สึกเพลียมาก และคิดอะไรไม่ออก
ต้องการอะไรหวานๆ เมื่อได้ทานแล้วก็ชื่นใจ
แต่แล้ว สักพัก ก็อยากกินอะไรหวานๆ อีก
วนอยู่อย่างนี้ตลอดทั้งวัน

เนื่องจากเวลาที่เราดื่มของหวานๆ เข้าไป
จะทำให้น้ำตาลในเลือดขึ้นสูงปรี๊ดอย่างฉับพลัน
อินซูลินก็จะถูกหลั่งออกมามากเพื่อเอาน้ำตาลเหล่านั้น
เข้าไปในเซลล์
ทั้งนี้อินซูลินที่ถูกกระตุ้นออกมาด้วยน้ำตาลที่สูงอย่างฉับพลัน
จะออกมาในปริมาณที่มากกว่าที่ควรจะเป็น
ทำให้น้ำตาลในเลือดลดต่ำลงเร็วและมากเกิน
ผลก็คือ เราจะขาดน้ำตาล!!!
ทำให้รู้สึกเพลียหลังจากกินน้ำตาลเข้าไปได้สักภายในสองชั่วโมง
ดังนั้นเราจึงต้องหาของหวานๆ กินอีกครั้ง

คนพวกนี้จะรู้สึก "ชื่นใจ" เวลาได้กินของหวานครับ

น้ำตาลในกระแสเลือดก็จะสวิงอยู่เช่นนี้
จนท้ายสุด ตับอ่อนเสื่อม เพราะทำงานหนักมากเกินไป
ก็กลายเป็นเบาหวานในที่สุด

วิธีการแก้อาการติดน้ำตาล
1. เมื่อรู้สึกอยากของหวานๆ
ให้กินของหวานนั้นเพียงไม่กี่คำ พอให้รู้สึกชื่นใจ
สมองได้รู้สึกสดชื่นขึ้น โดยการเคี้ยวให้ช้า
จากนั้นดื่มน้ำตามลงไป จนรู้สึกอิ่ม

2. เมื่อเรารู้สึกอยากน้ำตาลอีกครั้ง
จะเกิดอาการเพลียอีกขึ้นมา
ก็ให้เอาของหวานนั้นมารับประทานอีกครั้ง
ทำเช่นเดิม กินไม่กี่คำ แล้วทานน้ำลงไปจนอิ่ม

หากเป็นพวกน้ำหวานก็เหมือนกัน
ดื่มหนึ่งถึงสองอึก พอชื่นใจ จากนั้นดื่มน้ำเปล่าให้อิ่ม
ก็จะลดความหงุดหงิด และอาการเพลียจากอาการ"โหยน้ำตาลได้"

การทำเช่นนี้เพื่อค่อยๆ ปรับให้ร่างกายได้รับน้ำตาล
ไม่ทำให้ฮอร์โมนในร่างกายเกิดการกวัดแกว่งมากเกินไป
ทำให้เราไม่เกิดอาการเพลียเพราะน้ำตาล
และต้องกินของหวานๆ ทั้งวัน

เชื่อหรือไม่ครับว่า
สมองของเราติดน้ำตาลได้ ติดไขมันได้
และก็ติดได้แม้กระทั่งน้ำเย็น!!!

อาหารโอชะทั้งมวล
อร่อยลิ้นเพียงคำแรกๆ
และคำสุดท้ายก่อนจะหมดเท่านั้นเอง...


"ความรู้โบราณ อายุนับพันปี
ถ่ายทอดผ่านร้อยชั่วคน
แต่บางคน...ชั่วชีวิต กลับมิเคยได้รู้..."

เคล็ดลับจากศาสตร์โบราณ เพื่อคนยุคใหม่
โดย Admin : ผีเสื้อหน้าหยก
Facebook คันฉ่องสุขภาพ


ขอบคุณรูปจาก
http://vastfitness.com/breaking-your-sugar-addiction/1324/

เดินเขย่ง ใส่ส้นสูง... เส้นตึง... ปวดเรื้อรัง...




ต่อจากเรื่องเมื่อเช้านี้นะครับ
ไม่เพียงคนที่เดินเขย่งมักมีปัญหาเส้นตึงมาก
รวมถึงคนที่ใส่ส้นสูงเป็นเวลานานๆ

"ย่างก้าวที่ตั้งอยู่บนปลายเท้า
มีหรือจะไม่ตึง"

ปัญหาของคนเส้นตึงก็คือ ยืดเส้นไม่ได้...
หากยืดไม่ได้ ก็เลยไม่ยืด...
พอไม่ยืด เส้นก็ไม่หายตึง...
ทำให้ปวดทรมานอยู่ทุกๆวันคืน

ข้อแนะนำก็คือ อย่า! พยายามงัดกับเส้นๆเดียวให้ยืดออก
เพราะขาของเราไม่ได้ถูกยึดรั้งไว้ด้วยเอ็นเพียงเส้นเดียว
หากเราต้องการให้คลาย เราต้องคลายพร้อมกันทุกๆเส้น

วิธีการยืดที่ดีที่สุดคือ "ยืดแล้วหมุนเส้น"

ด้วยการหมุนเส้นเอ็นให้ยืดพร้อมกัน
โดยการนอนราบ แล้วยกขาขึ้นตั้งฉาก
ประคองไว้ด้วย มือทั้งสอง
ทำขาให้ตรงเท่าที่จะทำได้
จากนั้นหมุนข้อเท้าให้รอบ
คุณจะพบว่าคุณสามารถ
ยืดเส้นทุกๆเส้นที่รั้งขาอยู่ได้
หมุนไปเรื่อยๆ
หากพบว่ามุมองศาไหนเราตึงมาก
ค่อยๆ ค้างเอาไว้ก่อน แล้วจึงหมุนต่อไป
(วิธีนี้จะช่วยยืดเส้นลมปราณทั้งหกได้เลยนะครับ นั่นก็คือ
กระเพาะอาหาร ถุงน้ำดี กระเพาะปัสสาวะ ตับ ม้าม ไต)

หากเส้นยืดได้ ขาจะตั้งฉากแล้วตรงขึ้นเอง
จนสามารถยกโน้มขึ้นเข้าหาตัวได้มากขึ้น

เทคนิคที่แนะนำก่อนนอนคืนนี้
ใช้สำหรับก่อนนอนทุกๆคืนนะครับ
ฝากไว้ให้สำหรับคนเส้นตึงทุกๆคน

พยายามยืดเข้านะครับ
วิธีนี้เจ็บน้อยสุดแล้ว

แม้...เชือกควั่นจะใหญ่เท่าลำตาล...
หากจะยืด...ก็ต้องคลายเกลียว...

"ความรู้โบราณ อายุนับพันปี
ถ่ายทอดผ่านร้อยชั่วคน
แต่บางคน...ชั่วชีวิต กลับมิเคยได้รู้..."

เคล็ดลับจากศาสตร์โบราณ เพื่อคนยุคใหม่

เขียนโดย Admin : ผีเสื้อหน้าหยก
Facebook : คันฉ่องสุขภาพ


ขอบคุณรูปจาก
http://itrustican.blogspot.com/2011/05/its-about-them-never-about-you.html

Tuesday, April 16, 2013

หัวใจที่ฝ่าเท้า...


หัวใจใต้ฝ่าเท้า...
หากคุณต้องการรู้ว่าใครสักคน
มีจิตใจมั่นคงมากแค่ไหน 
คุณต้องสังเกตจากใต้ฝ่าเท้าและการเดินของเขา...

ฝ่าเท้าของคนที่เท้าสัมผัสพื้นได้
จะมีจิตใจที่มั่นคงกว่าฝ่าเท้าของคนที่มีส่วนโค้งเว้า
ยิ่งโค้งเว้ามาก ยิ่งไม่หนักแน่น
หากเดินเขย่งเท้าด้วยแล้ว
ยิ่งแสดงออกถึงความล่องลอยมากยิ่งขึ้น

คนกลุ่มนี้จะคล้ายๆกับ
คนที่ทะเยอทะยาน ซึ่งมีคิ้วสูงกว่าหู
ตรงที่ว่า เขาจะชอบแสวงหาสิ่งใหม่ๆเสมอ
แต่ต่างกันตรง คนที่เท้าโค้งเว้านี้
จะมีลักษณะไม่มั่นคง ไม่ตั้งมั่น...

"แม้เขาเหล่านั้นไม่เจ้าชู้ แต่เขาก็ไม่หนักแน่นเท่าที่ควร"

เราคงเคยได้ยินกันมาแต่โบราณว่า
เท้าเต็มไม่มีรอยเว้า เป็นคนมีบุญวาสนา
จริงๆ แล้ว หากคนที่มีฝ่าเท้าเต็ม
เขาจะเป็นคนที่หนักแน่น
ทำอะไรทำจริง ทำอะไรจึงสำเร็จได้ง่าย
กว่าคนที่หยิบโหย่ง

แต่เท้าคนปรกตินั้น
ต้องมีรอยเว้าด้านข้าง
แล้วอย่างนี้ ใครบ้างที่มีฝ่าเท้าเต็ม?

การพิจารณาให้ดูที่ตรงนี้
จุดตรงกลางฝ่าเท้า
มีชื่อว่าจุด "หย่งเฉวียน"
เป็นจุดที่ต่อกับเส้นลมปราณของไต
ชาวจีนโบราณเชื่อว่า
จุดนี้รับสามารถดูดซับพลังความหนักแน่นของแผ่นดินได้
ลองงุ้มปลายเท้าดู จะมีจุดที่บุ๋มใต้ฝ่าเท้าให้เห็น

หากจุดเล็กๆนี้สัมผัสพื้นได้เวลายืนเดิน
ก็ถือว่าเหมาะสมแล้ว

หมายเหตุ
เท้าบางคนมีลักษณะแบน เพราะกระดูกด้านข้างของเท้า
แบนราบลงไม่โค้งเหมือนคนทั่วไป
แม้ว่าจุดหย่งเฉวียนจะสัมผัสพื้น
คนเหล่านี้จะปวดหลัง
เพราะเมื่อเท้าแปไป ข้อเท้าจะบิด
ส่งให้เข่าและสะโพกรับน้ำหนักผิดรูปไปด้วย
แล้วลามไปปวดถึงกระดูกสันหลัง
ต้องยืดเส้นในร่างกายไว้นะครับ

เมื่อรู้จุดที่ควรต้องสัมผัสพื้น
เราก็มาฝึกหัวใจใต้ฝ่าเท้ากันเถอะครับ...

ท่าฝึกของชี่กงทุกท่า
จะเน้นที่การยืนบนรากฐานที่มั่นคง
โดยการยืนเอาเท้าแนบชิดกับผืนดิน
เหมือนหยั่งรากลึกลงไป...

ให้คุณลองฝึกยืนนิ่งๆ ดูก่อน ด้วยเท้าเปล่า
แล้วพยายามยืดส่วนตรงกลางฝ่าเท้า
ที่ไม่เคยได้สัมผัสผืนแผ่นดินมาก่อน
ค่อยๆ แนบลงไป อย่างผ่อนคลาย
ทำความรู้สึกเหมือนกับว่า
น้ำหนักของคุณผ่านทางฝ่าเท้าทั้งหมด
ทีนี้คุณก็จะรู้ถึงความรู้สึกที่ยืนเต็มฝ่าเท้า
ว่าเป็นอย่างไร...

หากเริ่มชำนาญแล้ว
ก็ให้ฝึกที่จะเดินให้เต็มฝ่าเท้า
ตอนแรกเดินให้ช้าเข้าไว้
(คนไม่ค่อยมั่นคง เขาจะเดินเร็ว เขย่ง เหยียบไม่เต็มส้น)
ทุกๆย่างก้าว ให้รู้สึกว่าฝ่าเท้าสัมผัสกับผืนดิน

แรกๆ ของการฝึกให้เร่ิมจากที่ผืนดินก่อน
ต่อมาค่อยๆ ฝึกเดินบนพื้นเรียบทั่วไป...

อย่าลืมนะครับ "ไม่ควรเขย่งเท้าเวลาเดิน"


ร่างกายที่มั่นคงเท่านั้น...
ถึงจะเป็นที่อยู่ของจิตใจที่มั่นคงได้...

บทความที่แนะนำ
"เจ้าชู้ รู้เอาไว้"
คนคิ้วสูงกว่าหูได้
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=154996351329373&set=a.153415624820779.1073741828.152788904883451&type=1&theater

"ความรู้โบราณ อายุนับพันปี
ถ่ายทอดผ่านร้อยชั่วคน
แต่บางคน...ชั่วชีวิต กลับมิเคยได้รู้..."
โดย Admin ผีเสื้อหน้าหยก
Facebook คันฉ่องสุขภาพ
เคล็ดลับจากศาสตร์โบราณ เพื่อคนยุคใหม่

Credit Photo by
http://articles.timesofindia.indiatimes.com/2012-12-16/beauty/35570320_1_remedies-vinegar-soda

เพลียแดด...เดือนเมษายน



เดือนที่โลกโคจรเข้ามาใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุด
จึงเป็นช่วงเวลาที่ร้อนที่สุดสำหรับประเทศที่อยู่บริเวณเส้นศูนย์สูตรอย่างประเทศไทย

เมื่อร้อนจัดเกินไป...อากาศร้อนลอยตัวสู่เบื้องบน
อากาศเย็นรอบข้างก็จะไหลเข้ามาทดแทน

ร้อนกระทบเย็นก็เกิดการควบแน่นเป็นสายฝน
ยิ่งร้อนเย็นต่างกันมากเท่าใด
การไหลของอากาศจะยิ่งรุนแรงเท่านั้น...

จนทำให้เกิด"พายุฤดูร้อน"ขึ้นมา
ชะล้างความร้อนอบอ้าวทั้งมวลให้หายไป
ช่างเป็นความงดงามของสมดุลโดยแท้....

ในร่างกายเราก็เช่นเดียวกัน
หากความร้อนสูงมาก ร่างกายก็จะเกิดการขับเหงื่อ
ทำให้ความร้อนในร่างกายลดลง
รู้สึกสบายตัว...
"เมื่อธาตุน้ำเกิดขึ้น ธาตุไฟย่อมอ่อนกำลังลง"

แต่ปัญหาจะเกิดขึ้นหากร่างกายไม่ระบายความร้อนออกมา
เพื่อปรับสมดุล สุดท้ายจะทำให้เราเป็นไข้แดด

ไข้ที่เกิดจากแดด...
จะไม่เหมือนไข้ที่เกิดจากการติดเชื้อภายใน
หรือเกิดจากการขาดน้ำเพราะท้องเสีย
เพราะเกิดจากเราโดนแดดมากเกินไป
ทำให้ความร้อนเข้ามาสะสมในร่างกาย
เราเพียงรีบไล่ความร้อนเหล่านี้ออกไป
ก็จะทำให้เรารู้สึกดีขึ้น...

กรณีแรกคือเป็นไม่มาก
จะเกิดอาการแค่เพลียแดด...
รู้สึกเหมือนเป็นไข้ ตัวรุมๆ
แนะนำให้ขับความร้อนออกทางเหงื่อ
ด้วยการบริหารร่างกายนิดหน่อย
เพราะเมื่อเหงื่อออก...
ความร้อนที่คั่งค้างไว้จะถูกระบายออกผ่านทางรูขุมขนทั่วทั้งร่างกายได้ทันที...
จากนั้นนอนพัก ตื่นขึ้นมาก็จะรู้สึกดีขึ้น

หากเพลียจนไม่สามารถบริหารร่างกายได้
แนะนำให้เอาเพียงขาทั้งสองแช่น้ำร้อนจนเหงื่อออกก็ใช้ได้ดีเช่นกัน
(วิธีนี้ใช้ได้กับคนที่รู้สึกเพลียแดด เท่านั้นไม่ควรใช้กับคนที่เป็นไข้แล้ว)

หากความร้อนสะสมมากจนต้องนอนซม
แนะนำให้ระบายความร้อนไปกับปัสสาวะแทน
ดื่มน้ำบ่อยๆ แล้วปัสสาวะออกไป
จนปัสสาวะไม่ร้อน...
พยายามนอนพัก อย่าเพิ่งทำกิจกกรรมใดๆมาก
ทานให้น้อย อย่าทานหนักเกิน
ร่างกายจะฟื้นฟูได้เร็วยิ่งขึ้น

สิ่งที่ไม่แนะนำในช่วงเพลียแดด...ก็คือ
1. ดื่มน้ำเย็น
2. อาบน้ำเย็น
3. เปิดแอร์เย็น
เพราะรูขุมขนจะปิดเหงื่อจะไม่ออก
ความร้อนจะระบายช้ามาก

แบ่งปันเทคนิค น้ำข่มไฟ!!! ให้แก่กันนะครับ

ธรรมชาติภายนอกเป็นเช่นไร...
ธรรมชาติภายในย่อมเป็นเช่นนั้น...

"ความรู้โบราณ อายุนับพันปี
ถ่ายทอดผ่านร้อยชั่วคน
แต่บางคน...ชั่วชีวิต กลับมิเคยได้รู้..."
โดย ผีเสื้อหน้าหยก

เคล็ดลับจากศาสตร์โบราณ เพื่อคนยุคใหม่
Facebook คันฉ่องสุขภาพ

Credit photo by
http://ipad.wallpapersus.com/water-fire-elements/

การนั่งในรถนานๆ ไม่ว่าเราจะเป็นคนขับรถหรือไม่ จะเกิดอาการล้าทั้งแนวกระดูกสันหลัง ส่งผลร้ายเรื้อรัง....




สำหรับการยืดตัวเพียงอย่างเดียว
จะไม่สามารถช่วยลดความล้าได้อย่างรวดเร็ว
เพราะกว่าจะให้เลือดไหลเวียนได้ต้องใช้เวลา
เราต้องยืดเส้นจนร่างกายร้อน
แต่เนื่องจากความเหนื่อยล้า
คงไม่มีใครพยายามทำทันที
มักจะล้มตัวนอนดีกว่า

แต่การนอนไปพร้อมๆกับความตึงล้า
จะก่อให้เกิดปัญหาปวดชาเรื้อรังภายภาคหน้า

เพราะเรานั่งท่าเดิมๆมากกว่าสองถึงสามชั่วโมง
จะเกิดการคับคั่งของการไหลเวียนโลหิต
เมื่อเลือดไหลเวียนไปไม่สะดวก
กล้ามเนื้อก็ขาดออกซิเจน
การซ่อมแซมต่างๆก็จะช้าลง

ดังนั้นเมื่อถึงที่พัก...วิธีที่ง่ายที่สุดคือ
การใช้น้ำร้อนกระตุ้นจุดต่างๆ
เพื่อให้การไหลเวียนโลหิตกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว
แนะนำว่าจากเครื่องทำน้ำอุ่นง่ายที่สุด
เปิดจนร้อนพอทนได้
หันหลังให้น้ำร้อนไหลผ่านตั้งแต่
จุดต้่าจุ้ยลงไป(จุดที่กระดูกสั้นหลังบนสุดที่ปูนออกมามากที่สุด)
บริเวณนี้ต่อกับจุดบริเวณหลังไหล่ได้อีก
มักทำให้คนขับรถมีอาการปวดตึงบ่าไหล่อีกด้วย
บางคนลามไปถึงมีอาการดวงตาพร่ามัว

ให้สายน้ำร้อนจะไหลผ่านแนวกระดูกสันหลังทั้งเส้น
เมื่อรู้สึกสบาย...
ให้ย้ายมาที่จุดตรงสลักเพชรตรงสะโพกทั้งสองข้าง
ทำทีละข้างสายน้ำร้อนจะไหลลงข้างขาพอดี
ตรงนี้จะช่วยให้เลือดไหลเวียนได้สะดวกทั้งขา
ทำสลับทั้งสามจุดนี้ไปมา

หากใครไม่มีเครื่องทำน้ำร้อน
ก็ต้องกลับไปวิธีดั้งเดิม
โดยการต้มน้ำอุ่น
แล้วผสมน้ำใส่กะละมัง
แช่เฉพาะส่วนก้นและหลัง

เดินนาน... รองช้ำ...
ยืนนาน... เส้นเลือดขอด...
นั่งนาน... ปวดไหล่หลัง...
นอนนาน... แผลกดทับ...
เดิน ยืน นั่ง นอน ให้สมดุล...
เพื่อชีวิตที่ยั่งยืน...

แบ่งปันเคล็ดลับง่ายๆ ให้แก่กันนะครับ
สงกรานต์นี้ จะได้ไม่มีคนป่วยเพิ่มขึ้น

"ความรู้โบราณ อายุนับพันปี
ถ่ายทอดผ่านร้อยชั่วคน
แต่บางคน...ชั่วชีวิต กลับมิเคยได้รู้..."
โดย ผีเสื้อหน้าหยก

เคล็ดลับจากศาสตร์โบราณ เพื่อคนยุคใหม่
Facebook คันฉ่องสุขภาพ

ขอบคุณรูปจาก
http://www.rodweekly.com/knowledge_detail.php?q_id=89

หากผมเปียก ผู้ใหญ่จะให้รีบอาบน้ำสระผม



หากผมเปียก ผู้ใหญ่จะให้รีบอาบน้ำสระผม 
เพราะเดี๋ยวจะไม่สบาย?
เปียกแล้วเปียกอีกไม่แย่กว่าเดิมหรอ...
คนโบราณรู้อะไรที่เราไม่รู้...

ที่เป็นเช่นนั้นเพราะเนื่องจาก ตรงกลางกระหม่อม มีจุดที่ชื่อว่า ไป๋ฮุ้ย ซึ่งแปลว่า"จุดร้อยบรรจบ" เป็นจุดที่ความร้อนจะถูกระบายออกจากทางจุดนี้ได้
(หากผู้ชายระบายความร้อนผ่านจุดนี้มากเกินไป
เซลล์รากผมบริเวณนั้นจะแก่เร็วและตายเร็วกว่าบริเวณอื่น ทำให้ศีรษะจะเร่ิมล้านเป็นไข่ดาว)
เมื่อผมเปียกชื้น จุดนี้จะถูกความเย็นเข้าแทรก ร่างกายก็จะเอาความร้อนขึ้นไปที่ศีรษะเพื่อดุลความเย็นที่เข้ามา
ผลก็คือ ศีรษะร้อนก่อน ก็จะเร่ิมเป็นไข้ ปวดหัว หนักศีรษะไม่สบาย

ชาวจีนรู้ว่าจุดนี้สำคัญเยี่ยงไร
ถึงขนาดมีการประหารนักโทษ โดยการโกนหัว
แล้วเอาเพียงน้ำเย็นหยดที่กระหม่อม ทิ้งไว้ทั้งคืน
ทุกหยดของน้ำที่เย็นจะทรมาน
นักโทษให้หนาวสั่นจนตาย!!!

วิธีแก้คือ
ให้รีบสระผมและอาบน้ำ
การอาบน้ำสระผมก็เหมือนการปรับสมดุลความเย็นทั้งร่างกาย
ไม่ให้ความเย็นไปรวมอยู่ที่ศีรษะที่เดียว
ความร้อนก็ไม่วิ่งขึ้นไป
ทำให้ไม่ปวดหัวเป็นไข้หวัดไงล่ะครับ

ปกป้องจุดนี้ของคุณ
ในช่วงสงกรานต์ให้ดีนะครับ :)

"หากรู้อย่างแตกฉาน
แม้เพียงหยดน้ำ
ก็อาจสังหารคนได้"

ขอรำลึกถึงพระคุณบรรพชน
หวังให้เคล็ดลับนี้...กลับมีชีวิตอีกครั้ง
ลูกหลานจะได้ไม่มองข้าม ถ่ายทอดให้กันและกัน

"ความรู้โบราณ อายุนับพันปี
ถ่ายทอดผ่านร้อยชั่วคน
แต่บางคน...ชั่วชีวิต กลับมิเคยได้รู้..."
โดย ผีเสื้อหน้าหยก

เคล็ดลับจากศาสตร์โบราณ เพื่อคนยุคใหม่
Facebook คันฉ่องสุขภาพ

ขอบคุณรูปจาก
http://lyndonspeaks.blogspot.com/2011/04/fight-heat.html

Tuesday, April 9, 2013

เคล็ดลับดื่มน้ำเย็น... สำหรับคนติดน้ำเย็น... เพื่อแก้พิษน้ำเย็น...



"น้ำเย็นนั้นเมื่อลงไปในกระเพาะอาหาร
จะทำให้ไฟธาตุในกระเพาะอาหารลดน้อยลง
ร่างกายต้องดึงเลือดมาอุ่นกระเพาะ
เพื่อให้การย่อยสมบูรณ์
หากย่อยไม่สมบูรณ์....
อาหารก็จะเน่าเสียภายในลำไส้อีก"

เส้นลมปราณของกระเพาะ ต่อขึ้นมาถึงศีรษะ
และลงไปถึงหน้าแข้งจรดเท้า
ทำให้คนที่ติดน้ำเย็น มีโอกาสปวดขาได้
จะต้องคอยทุบหน้าแข้งของตัวเองบ่อยๆ
พวกนี้พอแก่แล้ว ขาไม่มีแรง

หากออกกำลังกายเล่นกีฬาเหนื่อยๆ
แล้วลองดื่มน้ำเย็นเข้าไป
คอยดูครับ ร่างกายจะหมดกำลังทันที
ไม่ฮึดเหมือนเดิม การคิด การตัดสินใจช้าลง
ขาก้าวไม่ค่อยออกเลย
นั่นเพราะเส้นลมปราณกระเพาะอาหารถูกน้ำเย็นสะกดเอาไว้

น้ำเย็นทำให้การตัดสินใจไม่ค่อยดีอีกด้วย
ดังนั้นหากเจอสถานะการณ์ตื่นเต้น
ถ้าเรารู้สึกกระหายน้ำ อย่าเพิ่งดื่มน้ำเย็น
ให้ดื่มน้ำอุ่นๆ แทน จะช่วยให้ผ่อนคลายลงได้

โทษจากน้ำเย็นยังมีมากกว่าข้อดี
เช่น ทำให้เป็นคนขี้ร้อน ทำให้สมาธิสั้น ฯลฯ
แต่คงกล่าวได้ไม่หมด ในบทความนี้

เอาเคล็ดลับดื่มน้ำเย็นไปเลยดีกว่าครับ
ในเมื่อมันร้อนอย่างนี้ งั้นเรามาดื่มน้ำเย็นให้เป็นกันดีกว่า

"ร่างกายเราที่รู้สึกร้อน มันร้อนที่สมองครับ
หยุดความร้อนที่สมองได้ ก็แค่นั้นแหละ"

เวลาที่เราดื่มน้ำเย็น
ก่อนดื่ม อมไว้สักนิด
ตรงบริเวณเพดานอ่อนของเรา
มันสามารถส่งความเย็นไปที่สมองของเราได้
(เคยไหมที่เราดื่มน้ำปั่นผลไม้เย็นๆ แล้วมันเย็นขึ้นศีรษะ
จับจุดนี้มาใช้เลยครับ)

เมื่อน้ำเย็นได้หยุดพักที่จุดนี้
จะช่วยไปลดความร้อนจากสมองลง
และน้ำก็จะค่อยๆ อุ่นขึ้นเอง
พิษจากน้ำเย็น ไม่เพียงหมดไป
แต่กลับให้ประโยชน์ได้อีกด้วย

"แม้แต่พิษงู ยังใช้ทำประโยชน์ได้
นับประสาอะไรกับแค่ น้ำเย็น"

แบ่งปันเคล็ดลับดีๆนี้แก่กันและกันนะครับ

"ความรู้โบราณ อายุนับพันปี
ถ่ายทอดผ่านร้อยชั่วคน
แต่บางคน...ชั่วชีวิต กลับมิเคยได้รู้..."
โดย ผีเสื้อหน้าหยก

เคล็ดลับจากศาสตร์โบราณ เพื่อคนยุคใหม่
Facebook คันฉ่องสุขภาพ

ขอบคุณรูปจาก
http://www.wallpapersshop.net/wallpaper/titanic-love-death-cold-water-frost-bye-farewell-goodbuy-leonardo-dicaprio-kate-winslet/

Monday, April 8, 2013

ผิวแห้ง ผิวมัน ก็ขาดน้ำเหมือนกัน... ขาดน้ำ เพราะสูญเสียไปภายนอก หรือหายไปภายในร่างกายมากกว่า?



เนื่องจากอาหารที่เราทานอยู่ทุกๆวัน
แป้ง ไขมัน โปรตีนต่างๆ ต้องใช้น้ำในกระบวนการย่อยทั้งสิ้น
แป้ง จะต้องกลายเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวเพื่อดูดซึม
ไขมันก็ต้องกลายเป็นกรดไขมัน
โปรตีน ก็ต้องกลายเป็นกรดอะมิโน

นี่ยังไม่พูดถึงกระบวนการผลิตที่ผ่านการ ปิ้งย่างทอด
เพราะอาหารเหล่านี้ถูกระเหยน้ำออกไป เมื่อเข้าไปอยู่ในร่างกาย
เขาจะดูดน้ำกลับคืน...ในร่างกายของเรานี่แหละ

ดังนั้น เขาจึงบอกให้เราต้องดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว

แต่ถึงเราจะดื่มน้ำอย่างไรก็ยังไม่พอ
เพราะว่า...
อาหารในปัจจุบัน มีการปนเปื้อนมากขึ้น
เช่น สารปรุงแต่ง สี กลิ่น รส ฮอร์โมนเร่ง สารกันบูด....
ส่ิงเหล่านี้ต้องการน้ำมากขึ้นเพื่อไปกำจัดของเสียออกท่ี่ไตของเรา
ไม่ให้สะสมในร่างกาย

ผิวเราจึงขาดน้ำให้เห็น เป็นอาการผิวแห้งผิวมัน ไม่หายขาดสักที
บางคนที่รักษาสุขภาพมากจึงต้องดื่มน้ำมากขึ้น และมากขึ้น...

แต่ความมืดสีขาวที่ผมอยากจะกล่าวถึงก็คือ

อาหารเสริมต่างๆ ที่เรากินเข้าไป ก็ต้องการน้ำมากอย่างที่เราไม่ได้คาดคิดมาก่อน
เพราะเนื่องจากสารสกัดนั้นเข้มข้น (เข้มข้นกว่าเซลล์ของเราที่จะดูดซึมได้)
เช่น หนึ่งเม็ดมาจากวัตถุดิบตั้งต้น สิบกิโล อย่างนี้ต้องดื่มน้ำเท่าไหร่ถึงจะเพียงพอ...

วิตามินและอาหารเสริมที่ดูดน้ำได้แก่
1. ตระกูลน้ำมันต่างๆ เช่น เรซิติน น้ำมันปลา น้ำมันพิมโรส ฯลฯ เพราะน้ำมันเหล่านี้ต้องการน้ำดี ในการแตกตัวก่อนที่จะย่อยแล้วดูดซึมครับ
2. วิตามินเข้มข้น ต่างๆ ก็ต้องการน้ำในการละลายเช่นกัน เช่น วิตามิน C 1000 มิลลิกรัม วิตามิน B ฯลฯ
3. เกลือแร่ เช่น แคลเซียม ไบโอติน สังกะสี ฯลฯ
และอีกมากมาย
4. สารสกัดเข้มข้นต่างๆ

หากเราต้องกินอาหารเสริมเป็นกำมือ เราก็ต้องดื่มน้ำให้ทัน..
ไม่เช่นนั้นอาหารเสริมเหล่านั้นจะดูดน้ำในร่างกายของเรา
ร่างกายเราจะขาดน้ำ ผิวก็จะขาดน้ำ ไม่ว่าจะบำรุงด้วยครีมอะไรก็ตาม
ไม่สามารถทดแทนได้ เพราะว่า เกิดการขาดน้ำจากภายใน

สรุป เราต้องดื่มน้ำเท่าไหร่ถึงจะพอกับ....
- การย่อยอาหารที่เราต้องการ
- การกำจัดพิษจากการปนเปื้อน
- การละลายสารเข้มข้นจากอาหารเสริม

ดื่มเท่าเดิมแหละครับ
เราไม่สามารถดื่มน้ำมากเกินไปได้ เนื่องจาก
น้ำที่มากเกิน ก็จะทำให้การย่อยไม่สมบูรณ์
เพราะไปละลายกรดในกระเพาะอาหารให้เจือจาง

วิธีการก็คือ

"เราต้องเอาอาหารที่อุ้มน้ำได้ มาแก้อาหารเสริมที่ดูดน้ำเหล่านี้"

อาหารที่อุ้มน้ำได้แก่ ผักใบเขียว ผลไม้ที่ฉ่ำน้ำ เช่น แตงโม ชมพู่ ฯลฯ
พวกนี้เขาอุ้มน้ำได้ ทำให้ลำไส้ของเราช่ำน้ำ

วิธีนี้ใช้ตรวจตัวเองได้เสมอ
เช่นเรากินก๋วยเตี๋ยวไปชามหนึ่ง รู้สึกคอแห้งมาก
แสดงว่าเราได้รับผงชูรสเข้าไป
เราดื่มน้ำพอดับกระหาย
แล้วก็ให้เราหาผลไม้อุ้มน้ำตามเข้าไป
ผงชูรสจะได้ไม่ดูดน้ำจากภายในของเรามากเกินไป
สังเกตจากริมฝีปากของเราว่ายังแห้งอยู่หรือไม่
หากยังรู้สึกกระหายน้ำอยู่ แสดงว่า เรากินอาหารอุ้มน้ำไม่เพียงพอ

หาสมดุลของน้ำในร่างกายให้ได้นะครับ
แล้วผิวของเราจะค่อยๆดีขึ้นจากภายในอย่างแท้จริง

"แม้เราจะกลัวว่าอาหารในปัจจุบัน มีคุณค่าไม่เพียงพอ
จึงต้องเพิ่มอาหารเสริมเข้ามาในชีวิต
แต่เราก็ควรคำนึงถึงน้ำในร่างกายของเราด้วยว่า
ยังมีพอเพียงด้วยหรือไม่"

"ปุ๋ยที่มากเกินไป ก็กลับฆ่าต้นไม้ได้"

โดย ผีเสื้อหน้าหยก
Facebook คันฉ่องสุขภาพ

ขอบคุณรูปจาก
http://health.kapook.com/view37953.html

ร้อนง่าย... เย็นง่าย... หลับไม่ลึก แก่เร็ว... ควรกระตุ้นจุดบำรุงเลือด...

ร้อนง่าย... เย็นง่าย...
หลับไม่ลึก แก่เร็ว...
ควรกระตุ้นจุดบำรุงเลือด... 

หากเลือดไปหล่อเลี้ยงไม่ดี
สังเกตได้จากปลายมือปลายเท้าที่เย็น 

เลือดไปเลี้ยงปลายมือและเท้าไม่ได้ดี
ก็ไปเลี้ยงสมองไม่ได้ดีเช่นกัน
เพราะมนุษย์มีส่วนปลายทั้งห้า มือสอง เท้าสอง ศีรษะหนึ่ง
ดังนั้นพวกนี้จะเพลียง่าย... มึนง่าย...

บางพวกกลางคืนนอนไม่ค่อยหลับ แต่กลางวันเพลีย
เพราะเนื่องจากเลือดที่น้อยเกิน
ในเวลากลางคืน เราจะหายใจแผ่วเบาลงมาก
ทำให้เราได้รับออกซิเจนน้อยลง
เม็ดเลือดแดงต้องรับออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงเซลล์ในเวลาเราหลับอยู่
แต่เนื่องจากมีปริมาณน้อยกว่าที่ควรจะเป็น
จึงเอาออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ไม่ได้อย่างเหมาะสม
ดังนั้นพวกนี้ร่างกายจะหลับลึกลงไม่ได้...
มักมีการกระตุกให้ตื่นขึ้น เพราะออกซิเจนไม่พอ
หากยิ่งมีอาการนอนกรน หรือหยุดหายใจร่วมด้วย
ยิ่งทำให้ต้องตื่นบ่อยมาก
ทั้งยังนอนในห้องแอร์ ซึ่งไม่มีอากาศถ่ายเทอย่างเหมาะสมด้วยอีก
จึงทำให้ตื่นมายังไง ก็เพลีย...

คนเราใช้ชีวิตหนึ่งในสามกับการนอนหลับ
หากนอนทีไรร่างกายขาดออกซิเจนทุกๆ ที
เช่นนี้ยังไงเราก็ต้อง แก่เร็ว กว่าคนปรกติอย่างแน่นอน

วิธีการแก้ไข คือ เราต้องเพิ่มเม็ดเลือดแดงของเราให้มีคุณภาพ
คือ 1. เพิ่มเม็ดเลือดแดงในกระแสเลือดให้มากพอ
แนะนำทานผักโขม และตำลึง สองอย่างเอามาต้มเป็นแกงจืดทาน
ทานอย่างน้อยๆติดต่อกัน 4 เดือน (วงจรชีวิตเม็ดเลือดจะค่อยเปลี่ยนแปลงใหม่หมดภายในระยะเวลา 120 วัน) หรือจะใช้ยาบำรุงเลือด อาหารเสริมต่างๆ ร่วมด้วยก็ได้ แต่ต้องไม่รู้สึกร้อนเกินไป ให้พออุ่นๆ ถึงปลายมือปลายเท้าก็พอ

2. ช่วงบำรุงเลือด ห้ามนอนดึก อาจคงห้ามไม่ได้ 100% แต่จำไว้อย่างหนึ่งว่า ถ้านอนดึก จะทำลายเม็ดเลือดแดงให้น้อยลง ฉะนั้น อย่าให้มันเกินไปนัก
(คนนอนดึกมากเกิน เม็ดเลือดแดงแตกง่าย ถุงน้ำดีจะข้น ต้องระวังจะถูกตัดถุงน้ำดีนะครับ) หากนอนสี่ทุ่มได้ต่อกันสักสองสัปดาห์ จะรู้สึกดีมากๆทันตา ทันใจเลยครับ

3. กายบริหารท่านี้ เพื่อกระตุ้นจุดบำรุงเลือดด้วยตนเอง
ที่จุดข้างกระดูกสันหลังของเรามีจุดเก๋อซู่ และ ผีซู่
สองจุดนี้ใช้รักษาและบำรุงเกี่ยวกับเลือดในร่างกาย
ร่างกายจะเอาอาหารที่เราบำรุง(ข้อ.1)ไปสร้างเม็ดเลือดได้ดีย่ิงขึ้น ในยามที่คุณหลับใหล(ข้อ.2)

วิธีการบริหารจุดนี้
1. ให้นั่งคุกเข่า วางเข่ากางเท่าหัวไหล่ ยืดหลังตรง มือแนบลำตัว มองดูคล้ายรูปตัวแอล (จากเท้าถึงเข่าราบกับพื้น ส่วนจากหัวเข่าถึงศีรษะตั้งฉากกับพื้น)

2. ค่อยแอ่นตัวไปด้านหลัง พร้อมทั้งหายใจเข้า ขณะเดียวกันมือหนีบแนบลำตัวไว้ให้แน่นจนทรงตัวได้ ค่อยๆ กดมือให้แน่น เพื่อที่จะหงายศีรษะ หนาอก แผ่นหลังไป
ทำเท่าที่ทำได้แล้วกลับมาในท่าเดิม ค้างไว้พอสบาย

3. ค่อยๆ กลับมาในท่าปรกติ พร้อมทั้งหายใจออกจนลมหมด
ทำซ้ำ 3-5 ครั้ง จนบริเวณด้านหลังที่ตรงกับหัวใจเต้นตุ๊บๆ ค่อยๆ เพิ่มจำนวนครั้งเมื่อทำได้มากขึ้น และจะพบว่า เราเอนไปด้านหลังได้มากขึ้นเอง

(หากกระตุ้นจุดมิ่งเหมินได้ก่อน แล้วค่อยมากระตุ้นจุดบำรุงเลือดยิ่งได้ผลดี เพราะจุดมิ่งเหมิน เป็นรากฐานของพลังงานชีวิต)
หากสนใจอ่านตามลิงค์นี้นะครับ
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=159994680829540&set=a.153415624820779.1073741828.152788904883451&type=1&theater

"ยาวิเศษใดๆ...
ล้วนต้องอาศัยเพียงเลือด...
พาไปบำบัดรักษา..."

"ความรู้โบราณ อายุนับพันปี
ถ่ายทอดผ่านร้อยชั่วคน
แต่บางคน...ชั่วชีวิต กลับมิเคยได้รู้..."
โดย ผีเสื้อหน้าหยก

เคล็ดลับจากศาสตร์โบราณ เพื่อคนยุคใหม่
Facebook คันฉ่องสุขภาพ

ขอบคุณรูปจาก
http://physicsworld.com/cws/article/news/2011/jun/08/magnetic-fields-reduce-blood-viscosity