Saturday, March 23, 2013

เน่าใน เป็นสิว ผิวไม่ใส เพราะดื่มน้ำไม่เป็น



แม้ว่าร่างกายของเราจะประกอบด้วยน้ำมากที่สุด
แต่บางส่วนของร่างกายก็ไม่ได้ต้องการน้ำตลอดเวลา

หลายๆคนคงเคยได้ยินมาบ้างว่า กินข้าวอย่าดื่มน้ำ ไม่เช่นนั้นท้องจะอืด
อาหารจะไม่ย่อย

เพราะว่ายามที่กระเพาะทำหน้าที่หลั่งน้ำย่อยซึ่งมีความเป็นกรดรุนแรง สามารถย่อยเนื้อได้ทั้งก้อนให้เป็นผุยผง หากเราดื่มน้ำเข้าไปจะไปละลายความเข้มข้นในของกรดน้ำย่อยให้น้อยลง

ผลจากการที่น้ำย่อยเจือจาง จะทำให้อาหารคลุกเคล้ากับกรดไม่ได้อย่างเพียงพอ
อาหารก็จะเกิดการเน่าเสีย และไปหมักหมมรวมกันที่ลำไส้ใหญ่ ยิ่งคนไหนท้องผูกแล้วยิ่งแล้วใหญ่ คงจะเน่าในไปอีกหลายวัน
ลำไส้ใหญ่ก็ทำหน้าที่ ดูดซึมน้ำกลับจากกากอาหาร จะได้รับสารพิษที่เกิดจากการเน่านั้น ของเสียที่เข้าไปสู่ร่างกาย จะก่อให้เกิดโรคภัยตามมา ร่างกายก็จะต้องขับออกทางอื่นอีก หนึ่งในช่องทางการขับของเสียก็คือ รูขุมขนบนผิวหนังของเรานั่นเอง
ดังนั้น ผิวของแต่ละคนก็จะสดใส ตามแต่สภาพความสะอาดภายในของแต่ละคน

สูตรการไม่ดื่มน้ำที่ดี ก็คือ
ไม่ดื่มน้ำก่อนกินอาหาร 15 นาที และหลังจากกินอาหาร 40 นาที และหากต้องการจะดื่มน้ำจริงๆ ดื่มได้เพียงครึ่งแก้ว ระหว่างรับประทานอาหารเท่านั้น

และหากดื่มน้ำเย็นอีก จะส่งผลให้ไฟกระเพาะดับ ร่างกายต้องดึงเอาเลือดมาอุ่นกระเพาะอีก พวกนี้จะเพลียมากกว่าปรกติ หลังจากกินข้าวไป (จากเดิมก็จะหลับคาโต๊ะอยู่แล้ว)

แต่หากปฏิบัติตามสูตรนี้ได้ ก็เก่งมากเลยนะครับ
เพราะความจริงอีกข้อหนึ่งที่ยังไม่ได้พูดถึงเลย ก็คือ อาหารที่เรากิน ต้องการน้ำอย่างมาก
เพราะ รสชาติของอาหารของเรา
มันเผ็ด!
มันเข้มข้น!
มันจัดจ้าน!
มันถึงใจ!
เอาแค่ตัวอย่างข้าวเหนียวส้มตำไก่ย่าง น้ำตก ก็พอ ไม่กินน้ำก็แปลกแล้ว และลองจินตนาการต่อไปอีกว่าดื่มได้แค่น้ำเปล่าครึ่งแก้วไม่เย็นเนี่ยนะ...
หากทานในห้องแอร์ก็ยังพอจะใจเย็นอยู่บ้าง แต่เวลาเที่ยงๆ คนแย่งกันกิน คงทำใจได้หรอก...

การบอกว่า "อย่ากินอาหารรสจัด" คงไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด สำหรับชีวิตที่ต้องการรสชาติ
สิ่งที่อยากจะแนะนำก็คือ หาผลไม้ช่วยชีวิตครับ ผลไม้รถเข็นมีทุกที่ พวกเขาเหล่านั้นพร้อมช่วยชีวิตชาวออฟฟิส นิสิตนักศึกษาเสมอ สับปะรด และมะละกอ มีเอ็นไซม์่ช่วยย่อยได้เป็นอย่างดี ให้กินผลไม้ช่วยย่อยนี้ กับทุกๆมื้อที่คุณต้องการไม่ให้มันตกค้างอยู่ในร่างกายของคุณ หากคุณเลี่ยงดื่มน้ำในมื้อแซ่บๆไม่ได้

"น้ำไม่ได้เป็นพิษ
ความไม่รู้ตั้งหากล่ะที่ก่อโรคภัยไม่รู้จบ"

เขียนโดย ผีเสื้อหน้าหยก

ติดตามอ่านบทความย้อนหลังได้ที่
facebook คันฉ่องสุขภาพ
และ http://inno4health.blogspot.com/

No comments:

Post a Comment