Wednesday, June 5, 2013
กินสัตว์ใหญ่ อายุสั้น...แก่เร็ว? ควรทำอย่างไร?
อุณหภูมิในสัตว์หลายชนิด
มีอุณหภูมิร่างกายสูงกว่าในมนุษย์
คือประมาณ 38-40 องศาเซลเซียส
สัตว์มีอายุสั้น หายใจเร็ว หัวใจเต้นเร็ว ทำให้แก่และตายเร็ว
เมื่อเราบริโภคเนื้อสัตว์
ไขมันและน้ำมันจากเนื้อสัตว์เมื่อมาอยู่ในร่างกายของเรา
ซึ่งมีอุณหภูมิต่ำกว่า จะจับตัวกัน ทำให้เลือดเราเหนียวข้น
ก่อให้เกิดปัญหาตามมามากมาย
หากเลือดข้น การขนส่งออกซิเจนไม่ดี
หัวใจสูบฉีดหนักขึ้น สมองอ่อนล้า
อวัยวะทั้งหมดทำงานหนักขึ้น
เพลีย อ่อนแรงง่าย...ทำให้แก่เร็ว
คนที่ลองงดเนื้อสัตว์แล้วรู้สึกตัวเบาขึ้น
นั่นก็เพราะเลือดเขาไม่หนืดนั่นเอง
ลองเริ่มต้นงดเพียงแค่ 4 วัน
ก็รู้สึกดีขึ้นแล้ว....
หากทำไม่ได้จริงๆ
ผมขอแนะนำให้กินน้ำมันดีที่มีจุดหลอมเหลวต่ำ
เข้าไปเพื่อละลายไขมันเหล่านั้น
น้ำมันดีได้แก่ น้ำมันปลา และ น้ำมันงาม่อนครับ
เลือดไม่หนืดข้น ชีวิตจึงยืนยาว...
แบ่งปันเคล็ดลับให้แก่กันนะครับ
"ความรู้โบราณ อายุนับพันปี
ถ่ายทอดผ่านร้อยชั่วคน
แต่บางคน...ชั่วชีวิต กลับมิเคยได้รู้..."
เคล็ดลับจากศาสตร์โบราณ เพื่อคนยุคใหม่
โดย Admin : ผีเสื้อหน้าหยก
Facebook คันฉ่องสุขภาพ
http://scoop.mthai.com/scoop/13.html
http://waronblog.wordpress.com/
http://www.one-leggedsandpiper.com/OLSP/2009/11/Main.htm
http://depositphotos.com/12047295/stock-illustration-Front-view-hot-thermometer-vector.html
การให้เลือดบริจาคเลือดบ่อยๆดีหรือไม่
การให้เลือดบางคนก็ว่าดี เพราะจะได้เปลี่ยนเลือดออกไป
แต่บางคนเสียเลือดมากกลับเพลียง่าย มือเย็นเท้าเย็น ร่างกายเสื่อมไว
แล้วเราควรจะบริจาคหรือไม่
การเจริญเติบโตของร่างกาย
แบ่งออกได้เป็นสองช่วง คือ
1. ช่วงที่เจริญเติบโต
2. ช่วงที่ร่างกายเสื่อมถอย
ในช่วงที่ร่างกายเจริญเติบโต จะเป็นช่วงที่ร่างกายพร้อมจะเสริมสร้าง
ดังนั้นในช่วงนี้หากร่างกายได้รับการบาดเจ็บ ร่างกายจะกลับสร้างขึ้นมาเพื่อชดเชย
อวัยวะนั้นให้แข็งแรงกว่าเดิม
บางคนออกกำลังกายสม่ำเสมอตั้งแต่เด็ก ร่างกายก็เคยชินกับการได้ออกกำลังกาย
กล้ามเนื้อก็รับแรง รับน้ำหนักได้ดี ทำให้มีร่างกายที่แข็งแรงมากกว่าคนที่ไม่ออกกำลังกายตั้งแต่วัยเด็ก
หรือการโกนผม หากโกนตั้งแต่เด็ก ช่วยกระตุ้นให้เซลล์รากผมดกดำได้จริง
แต่หากอายุมากขึ้นแล้ว บางคนโกนผม กลับทำให้เส้นผมหงอกขาว หรือลดจำนวนลง
นั่นเป็นเพราะแต่ละช่วงเวลาหากเรากระทำต่ออวัยวะในร่างกาย
ร่างกายไม่สามารถฟื้นกลับได้ ก็จะอ่อนแอ แทนที่จะแข็งแรง
ดังนั้นการให้เลือดก็เป็นการกระทำต่อไขกระดูกที่จะสร้างเม็ดเลือดแดงใหม่ขึ้นมา
เพราะเนื่องจากเสียเลือดไป
หากร่างกายไม่แข็งแรงเรื่องระบบเลือดอยู่แล้ว
หากเสียเลือด ร่างกายจะไม่สามารถฟื้นฟูได้ทัน
คนที่ยังไม่เหมาะที่จะเลือดบ่อยๆได้แก่
คนที่มือเย็นเท้าเย็นง่าย ชี่น้อยลง
(พวกนี้ควรบำรุงเลือดของตัวเองก่อนที่จะให้เลือดผู้อื่น)
แต่สำหรับคนที่ให้เลือดมาตลอด จะช่วยให้ไขกระดูกได้เคยชินกับการสร้างเม็ดเลือด
ทำให้เขาเป็นคนที่มีเลือดที่แข็งแรง และถือเป็นกุศลมากที่ให้ทานเป็นอวัยวะเพื่อชีวิตมนุษย์
ใครอยากได้บุญจากด้วยการบริจาคเลือด
ควรรู้...ไว้ถึงวิธีการบำรุงเลือด
อ่านตามลิงค์นี้นะครับ
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=161189584043383&set=a.153415624820779.1073741828.152788904883451&type=1&theater
แบ่งปันเคล็ดลับให้แก่กันนะครับ
"ความรู้โบราณ อายุนับพันปี
ถ่ายทอดผ่านร้อยชั่วคน
แต่บางคน...ชั่วชีวิต กลับมิเคยได้รู้..."
เคล็ดลับจากศาสตร์โบราณ เพื่อคนยุคใหม่
โดย Admin : ผีเสื้อหน้าหยก
Facebook คันฉ่องสุขภาพ
Credit photo by:
http://www.med.cmu.ac.th/hospital/opd/health/bloodbank.htm
กระเพาะอาหารของเรามีความแข็งแรงไม่เท่ากัน เคล็ดลับของสาวพันปีอยู่ตรงนี้เอง
รู้ไหมครับ?
กระเพาะอาหารของเรามีความแข็งแรงไม่เท่ากัน
เคล็ดลับของสาวพันปีอยู่ตรงนี้เอง
ทั้งสวย.. ทั้งเก่ง..
คนที่ตื่นมาหิวข้าว แสดงว่ายังแข็งแรงอยู่
แต่คนที่ตื่นขึ้นมาแล้วกินอะไรไม่ลง ต้องใช้กาแฟกระตุ้น
พวกนี้กระเพาะอาหารจะอ่อนแอ
ส่งผลต่อสามส่วน คือ
1.การตัดสินใจ(สมอง)
2.ความเปล่งปลั่ง(ผิวหน้า)
3.ความกระฉับกระเฉง(ขา)
กระเพาะอาหารแข็งแรงไม่เท่ากัน
จึงเก่ง และสดใส คงความเยาว์วัย ได้ไม่เหมือนกัน ...
เส้นลมปราณกระเพาะอาหารนี้
พาดผ่านศีรษะ ใบหน้า กระเพาะอาหารลงไปถึงขาจรดปลายเท้า
นอกจากจะเกี่ยวข้องกับการย่อยแล้วยังเกี่ยวข้องกับ
1. ควบคุมการตัดสินใจ
2. การออกกำลังของขาทั้งสองข้าง
3. ความเปล่งปลั่งบนใบหน้า
คนเราแม้จะมีสมองอันชาญฉลาดเพียงใด
แต่ในยามหิวกระหายกลับคิดไม่ออก ตัดสินใจไม่ได้ทั้งนั้น
เวลาคนหิว จะเกิดอาการกระสับกระส่าย
เมื่อร่างกายขาดพลังงาน
จะเอาพลังงานจากไกลโคเจนในตับ
มาใช้แทนตับเป็นอวัยวะแห่งความวู่วาม โกรธ ฉุนเฉียว
ดังนั้น คนหิวจึงหงุดหงิดน่ากลัว
การตัดสินใจมักผิดพลาด
สังเกตดูว่าเวลาเครียด หรือกังวล
เรามักเกิดอาการมวนท้อง
หรือบางคนเป็น"เครียดลงกระเพาะ"
ซึ่งเกิดจากความไม่มั่นใจ
การเครียดจะสัมพันธ์กับกระเพาะอาหารเป็นอย่างมาก
เนื่องจากเส้นลมปราณต่อถึงกัน
ผู้บริหารหรือผู้ที่ต้องใช้การตัดสินใจที่สำคัญ
ควรทานอาหารเช้าทุกๆ วัน
สาวมั่นทั้งหลายควรดูแลกระเพาะอาหารไว้ดีๆ
จะทำให้คุณทั้งสวยและเก่ง ทั้งยังดูกระฉับกระเฉง
เพราะนี่คือคุณสมบัติที่เส้นลมปราณกระเพาะอาหาร
ครอบครองอยู่
ดูอย่างไรว่ากระเพาะเรายังแข็งแรงอยู่หรือไม่
1. ตื่นมาแล้วหิวข้าวในยามเช้า แสดงว่ากระเพาะทำงานถูกเวลา ยังแข็งแรงอยู่
และกินอาหารได้ ไม่มีอาการกินไม่ลง หรืองุนงง
2. ตื่นมาแล้ว ต้องกินกาแฟก่อน ยังไม่หิว อย่างนี้ถือว่ากระเพาะไม่รู้จักหน้าที่ตัวเองแล้ว ควรฟื้นฟู และปรับพฤติกรรม
ความงามบนใบหน้า
ก็อาศัยจุดบนเส้นกระเพาะอาหารเช่นเดียวกัน
ดังนั้นคนต้องกินอาหารเช้า
ไม่เช่นนั้น ใบหน้าจะหมดราศี
ดูไร้พลัง ไม่เปล่งปลั่ง สดใสเท่าที่ควรจะเป็น
ฉะนั้นอยากเก่ง อยากสวย ควรบำรุงกระเพาะง่ายๆ ดังนี้
1."กระเพาะต้องทำหน้าที่ในยามเช้า
และพักผ่อนยามค่ำคืน"
ขอแนะนำหากกินไม่ลง ให้ดื่มน้ำขิงอุ่นๆ ก่อน
เพื่อเป็นการกระตุ้นกระเพาะอาหารให้ทำงาน
จากนั้นค่อยฝึก"กินข้าวเช้า"
ฝึกให้ได้นะครับ กาแฟ แก้วเดียวขนมปังสองชิ้น ไม่พอ
สำหรับเวลาเช้า
2. กระตุ้นจุดความงามเส้นกระเพาะอาหารบนใบหน้า
เวลาสำหรับกระตุ้นจุดนี้ได้ดีที่สุด คือ ช่วงเวลาในยามเช้า
จุดนี้อยู่ข้างๆ ปีกจมูก แต่ลากเส้นลงมาตรงกับกลางตาดำพอดี
ใช้นิ้วทั้งสองกดจุดนี้ค้างไว้สัก สองวินาที แล้วปล่อย
ทำซ้ำประมาณ 5 รอบ
จนรู้สึกจุดน้ันชาๆ หนาๆ
เมื่อปล่อยใบหน้าผ่อนคลาย กลับรู้สึกเหมือนใบหน้ายิ้มเองถือว่าใช้ได้ดี
จากนั้นล้างหน้าต่อด้วยน้ำเย็นจัด จะรู้สึกถึงความเปล่งปลั่งได้ทันที
การกระตุ้นจุดกระเพาะอาหารใช้กระตุ้นได้ทั้งความสวยและความหล่อนะครับ
3. ออกกำลังกายเบาๆ ด้วยการวิ่งเหยาะๆ/เดินในยามเช้า
เพราะลมปราณเส้นกระเพาะอาหารสัมพันธ์กับขา
(คนสูงอายุที่กระเพาะเสื่อม ยกขาไม่ค่อยขึ้น เตะปีบไม่ดัง)
หากยังอยู่ในวัยที่ทำได้ ควรออกกำลังกายเอาไว้
4. งดน้ำเย็น ในมื้ออาหาร
จะช่วยลดอาการปวดขาเส้นหน้าแข้งได้ดีอีกด้วย
(คนกลุ่มนี้มักชอบ ทุบสันหน้าแข้งตัวเอง เพื่อให้คลายปวด)
ในการย่อยอาหาร หากดื่มน้ำเย็นเข้าไป
ร่างกายต้องใช้เลือดมาอุ่นกระเพาะ เพื่อทำให้การย่อยสมบูรณ์
บางคนจะเพลียมาก หลังกินข้าว ให้พยายามงดน้ำเย็น
ด้วยเพราะเส้นลมปราณกระเพาะอาหารนี้จึงทำให้
ใบหน้าที่อ่อนวัย
จะมาพร้อมกับความปราดเปรียว
และท้องที่อิ่มในยามเช้า
แบ่งปันเคล็ดลับให้แก่กันนะครับ
"ความรู้โบราณ อายุนับพันปี
ถ่ายทอดผ่านร้อยชั่วคน
แต่บางคน...ชั่วชีวิต กลับมิเคยได้รู้..."
เคล็ดลับจากศาสตร์โบราณ เพื่อคนยุคใหม่
โดย Admin : ผีเสื้อหน้าหยก
Facebook คันฉ่องสุขภาพ
Credit photo by:
http://my.dek-d.com/plely64/gallery/show_picture.php?id=100527004
http://acupunctureschoolonline.com/st-3-great-crevice-juliao-acupuncture-points.html/st-3-great-crevice-juliao-acupuncture-points-1
http://www.sciencealert.com.au/news/20121610-23799.html
http://www.builtlean.com/2012/08/28/early-morning-workouts/
Monday, May 27, 2013
เผาหยิน... กินหยาง... ผมร่วง ศีรษะล้าน รังแคเรื้อรัง
ใครก็ตามที่หักโหมมากเกินไปทั้งทางสมองและกาย
การไหลเวียนของชี่หยางจะเพิ่มขึ้นเพื่อตอบสนองกิจกกรมนั้น
(ร่างกายร้อน)
การที่มีชี่หยางเกิดขึ้น จะต้องมีชี่หยินสำรองไว้
เหมือนดังต้นไม้หากงอกเงย ต้องมีระบบน้ำที่หล่อเลี้ยงดีพอ
หาไม่แล้ว ลำต้นจะแห้งกรอบ เปราะบาง และเหี่ยวเฉาในที่สุด
ยิ่งชี่หยางมีมากก็จะเผาชี่หยินให้หมดไป
"หากชี่หยินพร่อง เส้นผมจะหลุดร่วง แห้งกรอบ และหงอกขาว"
คนในปัจจุบันมักจะป็นภาวะหยินพร่อง เนื่องจากวิถีชีวิตที่เร่งรีบ
การดื่มน้ำไม่ใช่การแก้สมดุลหยินและหยางในระดับรากฐาน
ชี่หยินมีความตรงข้ามกับชี่หยางที่แข็งขัน เปล่งประกายของผิว
ชี่หยินสงบ ควบคุมของเหลวภายใน ต้องถนอมไว้
เราสามารถบำรุงชี่หยินได้ดังนี้
1. พักผ่อนหลังมื้อเที่ยง เพราะเป็นเวลาที่หยินทารกก่อกำเนิด
จะทำให้รู้สึกสดชื่นอย่างสม่ำเสมอตลอดช่วงบ่าย
และหยินทารกนี้จะแข็งแรงที่สุดในตอนเที่ยงคืน
ดังนั้นจึงควรเข้านอนไม่เกิน สี่ทุ่ม
2. ห้ามกินอาหารหนักในมื้อค่ำและหลีกเลี่ยงของมึนเมา
เพราะเป็นการเร่งเร้าให้เกิดการเผาผลาญชี่หยิน
ในยามค่ำคืนไม่ควรทำกิจกรรมหักโหมใดๆ
ของมึนเมาจะเผาชี่ให้เหือดหาย
ยาบำรุงหยินที่พร่องมีชื่อว่า
"ตีแปะโป้ยบี่อี้"
ช่วยเสริมธาตุหยินในร่างกาย
ยาตัวนี้มักใช้กับผู้ชายเป็นส่วนมาก
เพราะผู้ชายมักมีอาการหยินพร่องได้ง่ายกว่าผู้หญิง เนื่องจากร่างกายร้อนง่าย
แต่ผู้หญิงกลับมักมีอาการเย็นง่ายกว่า
จึงต้องบำรุงเลือด
หากขาดชี่หยิน
ผมจะแห้งกรอบ และหลุดร่วงง่าย
ผิวแห้งร้อน เป็นรังแคเพราะผิวหนังกำพร้าอายุสั้น
ปัญหาเส้นผม ผู้ชายจะมีปัญหามากกว่าผู้หญิง
ยาตัวนี้ทานแล้วในผู้ชาย หนวดเคราจะงอกเร็วขึ้นอีกด้วย
ใช้คู่กับ He Sou Wu ที่ช่วยให้ผมดำ ได้
ก่อนกินยาแนะนำว่า
ไปตรวจกับหมอจีนดูก่อน ว่าตนเองเกิดภาวะหยินพร่องหรือไม่?
ร้านที่ขายราคาถูก
อยู่ตรงถนน ลำพูนไชย สัมพันธวงศ์
02-222-4336
ร้านนี้เขาขายกระปุกละเป็นพันเม็ด ราคา สองร้อยกว่าบาท
(ที่อื่นกระปุกดูสวย แต่มีประมาณร้อยสองร้อยเม็ด ลองสอบถามราคาดู)
ที่นี่เขาขายราคาส่ง ซื้อมากเท่าไหร่ก็ไม่ลดราคาแล้ว
สำหรับคนที่ไม่ต้องการกินยาจีน
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม
แต่ยังต้องการจะบำรุงเส้นผม ให้ดกดำ
หรือต้องการให้เห็นผลเร็วขึ้น
ขอแนะนำให้ใช้สมุนไพรหมักผมจากภายนอกบำรุงเข้าไป
เซลล์รากผมเมื่อสัมผัสกับตัวยาจะฟื้นบำรุงได้ดีกว่า
ต้องรอเอาสารที่เลือดส่งมาเลี้ยงเพียงอย่างเดียว
สมุนไพรที่น่าสนใจอื่นๆได้แก่
1. บัวบก
บัวบกมีฤทธิ์เย็น ใช้หมักผม เพื่อสมานหนังศีรษะ
แก้ความร้อนเกินที่ขึ้นศีรษะได้ดี เอามาตำทั้งกากแล้วหมักศีรษะเอาไว้
2. ส้มป่อย ใช้สระผมได้
เนื่องจากส้มป่อยมีสารประเภทซาโปนินมาก
เอามาตีกับน้ำจะเกิดฟอง คนโบราณเอามาไว้สระผม
3. ไม้พญางิ้วดำ
ไม้นี้มีสีดำ โบราณเอามาใส่ในหม้อข้าว
ข้าวทั้งหม้อจะเป็นสีดำสนิท
เป็นพืชสมุนไพรที่หาได้ยากยิ่งในปัจจุบัน
หากต้องการกระตุ้นให้ผมขึ้นดกดำด้วยสมุนไพร
แนะนำให้ลองดูการศึกษาวิจัยของ สถาบันดูแลเส้นผมจีวา
ของเขามีแชมพูและแฮร์โทนิคสูตรไม้พญางิ้วดำด้วย
https://www.facebook.com/JivaHairHealth?ref=ts&fref=ts
ต้นไม้โตได้ เพราะแสงสว่าง (หยาง)
อิ่มได้เพราะน้ำค้ำจุน ชุ่มชื่น (หยิน)
คนก็เช่นกัน....
"ความรู้โบราณ อายุนับพันปี
ถ่ายทอดผ่านร้อยชั่วคน
แต่บางคน...ชั่วชีวิต กลับมิเคยได้รู้..."
เคล็ดลับจากศาสตร์โบราณ เพื่อคนยุคใหม่
โดย Admin : ผีเสื้อหน้าหยก
Facebook คันฉ่องสุขภาพ
Credit photo by
http://www.hairenergizer.com/Hair-Loss-Products-Men-s/168.htm
http://www.sheknows.com/health-and-wellness/articles/814874/tips-to-stop-hair-loss-and-thinning-hair-1
http://www.utdid.com/%E0%CB%C5%E7%A1%B9%E9%D3%BE%D5%E9/html/0000542.html
http://www.patchanun.com/
ผมดำ จากภายใน... คงความเยาว์วัย บำรุงไต... สร้างเลือด...
คนหนุ่มสาวบางคน เริ่มมีปัญหาเกี่ยวกับเส้นผมก่อนวัย
เพราะว่า ใช้ร่างกายหนักเกินไป
จนชี่ในไตพร่อง...
ความรู้โบราณนับพันปีกล่าวถึงเส้นผมว่า
"ผมเป็นส่วนที่เกินของเลือด"
เลือดถูกสร้างมาจากจิงชี่ที่ไต
(จิงชี่ คือ สารแห่งชีวิต)
และในปัจจุบันเราก็พบว่า ไตทำหน้าที่หลั่งฮอร์โมน ชื่อว่า อิริโธรปอยอิติน (Erythropoietin) มากระตุ้นให้ไขกระดูกสร้างเม็ดเลือดแดง
ดังนั้น ความสมบูรณ์ของเลือดเองจึงสะท้อนมาจากความสมบูรณ์ของไต
หากไตสมบูรณ์ดีเส้นผมก็จะดกดำและเป็นประกายเงางาม
การรักษาบำรุงเส้นผมให้กลับมาดกดำนั้น
ดังนั้นต้องใช้เวลาอย่างน้อย 4 เดือนขึ้นไป เพื่อให้เลือดแข็งแรงก่อน
(เลือดของเรามีอายุ 120 วัน เมื่อผ่านไป 4 เดือน เม็ดเลือดแดงของเราแข็งแรงแล้ว
จึงค่อยอาศัยเม็ดเลือดไปบำรุงผม จึงจะเร่ิมเห็นผลอย่างเต็มที่
อย่าร้อนใจให้เห็นผลไว
แต่ต้องเข้าใจในอายุของรอบเซลล์อีกด้วย
"เซลล์รากผมหนึ่งเซลล์มีอายุยืนนานมากกว่าเซลล์อื่นๆ คือ มีรอบเซลล์ถึง 7 ปี
การบำรุงเซลล์รากผมหากต้องการดูและให้สมบูรณ์จริงๆ อย่างเป็นธรรมชาติ
ควรใจเย็น และเข้าใจในธรรมชาติว่า การเปลี่ยนแปลงของเส้นผมจะค่อยเป็นค่อยไป"
เมื่ออยู่ในครรภ์มารดา เราใช้ชี่จากไต
เมื่อเติบโตขึ้น ร่างกายกินอาหารหยาบเองได้ ก็ใช้ชี่จากกระเพาะแทน
ชี่ของไตของคนจึงเปรียบได้กับแบตเตอรี่สำรอง
หากทำงานหักโหม พักผ่อนไม่เพียงพอ ร่างกายอ่อนแอ
เมื่อชี่ไม่พอจึงต้องดึงเอามาจากไต
เมื่อชี่ในไตอ่อนแอ จึงปรากฎให้เห็น
ผมหงอกก่อนวัย เส้นผมกระด้าง หลุดร่วง รวมทั้งกระดูกที่อ่อนแออีกด้วย
ไม่เพียงเท่านั้น...
รู้ไหมว่า ไตนั้นเป็นอวัยวะที่ควบคุมความกลัว
หากยิ่งมีเรื่องที่กลัวมาก กังวลมาก จะยิ่งผมหงอกเร็วขึ้น
หูเป็นอวัยวะทวารของไต
เมื่อไตแข็งแรง ใบหูใหญ่
คนพวกนี้อายุยืน...
การฟื้นฟูบำรุงจิงชี่ในไต เพื่อผมดกดำ
1. อย่ากินมากเกินไปในตอนค่ำ เพราะร่างกายต้องการพักผ่อนมากกว่าที่จะย่อยอาหาร เมื่อร่างกายไม่ได้พักผ่อน ตับและไตต้องทำงานหนักเพื่อกำจัดของเสียที่เกิดขึ้นมากกว่าเดิม
2. นอนให้เร็วก่อน 3-4 ทุ่ม เพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นฟู สำหรับคนที่มีอาการเพลียข้ามวันข้ามคืน ลองทำดูสักหนึ่งอาทิตย์จะรู้สึกดีขึ้น
3. ลองบำรุงด้วยสมุนไพรจีนที่มีชื่อว่า He Shou Wu " เหอ โส่ว วู" หาซื้อได้ตามร้านยาจีนทั่วไป สำหรับตำรับยา สามารถสอบถามร้านยาจีนได้
He Shou Wu เป็นพืชมีเหง้าสีดำ คล้ายโสม แปลโดยตรงว่า "นายเหอผมดำ"
ลักษณะบางต้นมีรูปร่างคล้ายคนมาก
ชาวจีนนิยมใช้กันมานานนับร้อยปี โดยเชื่อกันว่าจะทำให้ผู้ใช้มีสุขภาพแข็งแรง มีภูมิต้านทานต่อโรคต่างๆ มีความกระฉับกระเฉง ไม่แก่ก่อนวัยและช่วยให้อายุยืน จึงนิยมมากหมู่ผู้สูงอายุโดยเชื่อว่าจะช่วยให้เส้นผมมีสุขภาพดีแข็งแรงและรักษาสีผมให้ยังคงดำเงางาม
บำรุงเส้นผมให้ดกดำ เงางาม
ต้องใช้ความมานะพยายาม
ไม่ต่างจากการเลี้ยงบอนไซ...ให้สมบูรณ์
หมายเหตุ
He Sou Wu ช่วยให้ผมดำ
ยังมียาสมุนไพรจึนบางตัวที่กระตุ้นให้ผมขึ้นเร็ว
และบางตัวใช้บำรุงจากภายนอก
จะค่อยๆเอามาลงให้นะครับ
"ความรู้โบราณ อายุนับพันปี
ถ่ายทอดผ่านร้อยชั่วคน
แต่บางคน...ชั่วชีวิต กลับมิเคยได้รู้..."
เคล็ดลับจากศาสตร์โบราณ เพื่อคนยุคใหม่
โดย Admin : ผีเสื้อหน้าหยก
Facebook คันฉ่องสุขภาพ
Credit photo by:
www.lionheartherbs.com
www.riceplex.com
www.interactive-biology.com
s1037.photobucket.com
ผมหงอกก่อนวัย... แก่ชราไว ก่อนกำหนด...
เมื่อผมเส้นขาว แซมขึ้นมา
นั่นบ่งบอกถึงภาวะความชราได้เริ่มปรากฎให้เห็นแล้ว
โดยปรกติแล้ว เซลล์เส้นผมของเรามีอายุได้ถึง 7 ปี
คนเรา หน้าเปลี่ยนและดูแก่ชราอย่างชัดเจน
เมื่อเวลาผ่านไปทุกๆ 7 ปี
การใช้ร่างกายอย่างหนัก พักผ่อนไม่พอ
ทำให้เซลล์อายุสั้นกว่าที่ควรจะเป็น...
รอบอายุเซลล์จากเดิมที่มีอายุยืนยาว ก็หดสั้นขึ้น...
ผมที่บาง ผมที่หงอก ทำให้เราดูแก่ขึ้น อย่างปฏิเสธไม่ได้
และการย้อนวัยกลับคืนมาด้วยการฟื้นฟูเส้นผม
ก็ไม่ได้ทำกันได้อย่างรวดเร็วเหมือนเซลล์อื่นๆ เสียด้วย
ดังนั้นการฟื้นฟูให้ผมกลับมาดำ จึงเป็นเรื่องที่หลายคนท้อถอยไปก่อน
หลายๆ คนอาจไม่ได้ใส่ใจกับการเริ่มต้นของความชรา
จนกว่าผมขาวจะเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างหยุดไม่อยู่...
การมีผมหงอกก่อนเวลาอันควร
จึงบ่งบอกถึงความอ่อนแอภายใน
ควรรีบฟื้นฟูร่างกายก่อนจะสายเกินแก้
เส้นผมนั้นได้อาหารมาจากเลือด ทางแพทย์แผนจีน ก็มีคำกล่าวว่า
"เส้นผมเป็นส่วนเกินของเลือด"
"คนที่เส้นผมอ่อนแอ
ผิวก็มักจะอ่อนแอ
เลือดก็มักอ่อนแอ
กระดูกก็อ่อนแอ..."
อวัยวะทั้งสี่ เชื่อมโยงกัน
เมื่อผมเริ่มเสื่อม จึงสะท้อนให้เห็น
อวัยวะอื่นๆ ก็เริ่มเสื่อมด้วยเช่นกัน
ดุจดังต้นไม้...
เมื่อเห็นใบเหลือง... ย่อมรู้ว่ารากเริ่มเน่า...
การป้องกันความชราของอวัยวะทั้งสี่
โบราณนับพันปีใช้เมล็ดงาช่วยบำรุงฟื้นฟู
ซึ่งถูกค้นพบว่ามี "งา"มีสารอาหารอย่างครบครัน
ที่บำรุงผม ผิว เลือด และกระดูก
ช่วยให้ผมดกดำ ผิวหนังชุ่มชื้น
เลือดและกระดูกแข็งแรง
โดยเฉพาะคุณผู้หญิง ต้องสะสมกระดูกตั้งแต่ก่อนอายุสามสิบ
เพราะเมื่อถึงวัยหมดประจำเดือนแล้ว
หลังจากนั้น 5 ปี จะเกิดภาวะกระดูกพรุนได้
วิธีการฟื้นฟูอวัยวะทั้งสี่
แนะนำ งาดำ น้ำมันงา และ งางอก
1. กินงาดำ วันละ 1 ช้อนโต๊ะ
งาดำในปัจจุบันที่ขายในท้องตลาดมักเป็นงาคั่ว
สำหรับคนที่ผมหงอก ผมแห้งเปราะ เป็นรังแค พวกนี้
มักมีอาการร้อนภายในเกินอยู่แล้ว
ซึ่งจะขอแนะนำว่าควรกินงาที่ไม่คั่วมากกว่า
(อาจทานเป็นงาต้ม หรือหุงไปพร้อมกับข้าวก็ได้)
ยิ่งคนที่ร้อนในง่าย ไม่แนะนำงาคั่วเป็นอันขาด
ขอแนะนำ งาดำของไร่ดินดีใจ
งาดำที่นี่ปลูกแบบธรรมชาติ และใช้วิธีการอบโดยใช้แสงแดดแบบโบราณ
การเพาะปลูกไม่ใช้สารเคมีและยาฆ่าแมลง
และการเก็บต่างๆไม่ได้ใส่สารใดๆเพื่อให้เก็บได้นาน
"พวกเขาใช้มือนั่งคัดเม็ดงา"
กินงาดำเปล่าๆ ของเขาจะมีรสชาติหวานหอม
ลองสอบถามดูนะครับ ว่าช่วงนี้มีงาหรือเปล่า
(เพราะบางช่วงก็หมด เขาจะปลูกไปเป็นรอบๆ)
โทร : 086-059-8939
http://m.youtube.com/watch?v=xN_yuQzEF_g
2. สำหรับคนที่มีปัญหาผิวเริ่มแห้ง อักเสบง่าย
ผมแห้งกรอบ แนะนำให้ดื่มน้ำมันงาดำ
การดื่มน้ำมันงาดำ หนึ่งช้อนโต๊ะพร้อมอาหารเช้า
ช่วยฟื้นฟูผิวและผม ให้มีความแข็งแรง
(สุนัขกินน้ำมันงา อาทิตย์ละ 1 ช้อนโต๊ะ/ชา ตามขนาดตัว ขนจะสวยมากๆ)
แต่ต้องดูให้ดีๆ ว่าไม่ใช่น้ำมันงาที่ผ่านกรรมวิธีที่โดยความร้อน
หรือโดยเฉพาะผ่านการคั่ว คุณสมบัติจะเปลี่ยนไปแม้จะหอมกลิ่นงาคั่วก็ตาม
(มักขายเพื่อไว้สำหรับหมักเนื้อสัตว์ มีกลิ่นหอมงาคั่ว) อย่างนี้ใช้ไม่ได้
ต้องเป็นน้ำมันงาสกัดเย็นเท่านั้น
เนื่องจากน้ำมันงามีหลายเจ้า ที่ขายอยู่
แต่ขอแนะนำ น้ำมันงาของ บีสมายล์
เวลาโทรไปสั่งเขา ให้บอกเขาว่า
ต้องการน้ำมันงาดำที่คั้นใหม่สีดำยังไม่ตกตะกอน
ถามเขาว่าเขามีไหม?
ปรกติเขาจะขายแบบที่ใสๆ เหมือนเจ้าอื่นๆ ทั่วไป
(น้ำมันงาที่ใสแล้ว ผ่านการตั้งทิ้งไว้เป็นเดือน
เพื่อให้น้ำมันงาตกตะกอน แล้วค่อยเอามาขาย
เราจึงได้รับประทาน)
หากเราสั่งแบบนี้
เราจะได้กินน้ำมันงาที่มีสีดำ สรรพคุณอยู่ครบแน่นอน
จะเห็นเลยว่าน้ำมันงาดำสดๆ เป็นอย่างไร
แนะนำให้ดื่มน้ำมันงาสีดำๆ นั้นเลยจะดีที่สุด
เบอร์โทร 02-948-4081
3. หากใครกินงา แล้วท้องอืด
หรือกินน้ำมันงาแล้วผะอืดผอม
แต่ยังต้องการบำรุงผิวและผมด้วยงาดำ
แนะนำให้ทำ"งางอก"กินเอง
เมื่องามีรากงอกออกมาแล้ว
กินจะท้องไม่อืด
วิธีการเพาะงางอก ลองทำตามนี้ดูครับ
http://www.bansuanporpeang.com/node/20278
เร่ิมต้นดูแลร่างกายของเราเอง
ตั้งแต่วันนี้นะครับ
"การเริ่มรักษาโรค เมื่อเร่ิมป่วย...
ก็ไม่ต่างกับการขุดบ่อน้ำ เมื่อเริ่มกระหาย..."
"ความรู้โบราณ อายุนับพันปี
ถ่ายทอดผ่านร้อยชั่วคน
แต่บางคน...ชั่วชีวิต กลับมิเคยได้รู้..."
เคล็ดลับจากศาสตร์โบราณ เพื่อคนยุคใหม่
โดย Admin : ผีเสื้อหน้าหยก
Facebook คันฉ่องสุขภาพ
Credit Photo by
http://vcharkarn.com/vnews/152653
http://www.zazana.com/Article/id10755.aspx
http://www.bansuanporpeang.com/node/20278
http://foodtruthonline.com/fff/pantry
ธาตุไฟลดลงถึงไหน? แก่ลงถึงนั่น...
"หากร่างกายเปรียบเช่น เทียนเล่มหนึ่ง
ไฟย่อมลุกไหม้ ไปตามไส้ของมัน
และนี่ก็คือเส้นทางของไส้เทียนในเรือนกาย"
อายุ 1-10 ธาตุไฟจะมีมากที่เท้า เด็กจะชอบวิ่ง ซุกซนไปมา ไม่อยู่กับที่
เมื่อในวัยเด็กเราจะมีการเผาผลาญสูงสุด จากนั้นธาตุไฟในตัวเราจะลดลงเรื่อยๆ
และลดลงจนเราเสียชีวิตลง
อายุ 10-30 ธาตุไฟจะคงที่ และสมดุล ทุกๆ ระบบ เป็นช่วงที่ธาตุไฟเจิดจรัสเต็มที่
แสงเทียนสว่างและนิ่ง เหมือนดั่งชีวิตที่ไร้โรคภัย คนวัยนี้มักประมาทในสุขภาพ ต่อไปร่างกายจะอ่อนแอ เพราะจากนี้ไปธาตุไฟจะเร่ิมลดลงเรื่อยๆ
อายุ 40 ธาตุไฟจะลดลงจากเท้าและขา มาเหลืออยู่ที่ก้น ดังนั้นคนอายุนี้จะชอบนั่งมากกว่ายืน และเดิน ระวังเท้าและขาเย็นเกินไป ควรสวมถุงเท้าไว้ได้แล้วในยามค่ำคืน
อายุ 50 ธาตุไฟลดลงมาถึงตับ ตับเริ่มเสื่อม จะเริ่มเป็นเบาหวานช่วงนี้ จะไม่มีแรง ผู้ชายจะเริ่มแรงตก ต้องระวังเรื่องอาหารหวานๆมันๆ
อายุ 60 ลดลงที่หัวใจ หัวใจจะเริ่มอ่อนล้าลง จะชอบนอนมากกว่าทำอย่างอื่น
กินเสร็จแล้วจะง่วงนอนมาก ต้องล้มตัวลงนอน
(หมา หมู วัว ควาย มีสมองและหัวใจระดับเท่ากัน แต่คนมีสมองที่สูงกว่า หัวใจเมื่อฝ่อ สมองก็ฝ่อ จะต้องนอนแล้ว เพราะถ้านอนหัวใจจะทำงานไม่หนัก จึงรู้สึกปลอดโปร่ง)
อายุ 70 ลดลงมาจนกระทบม้าม เหนื่อย หอบ เหนื่อยลึกๆ สำหรับคนที่อายุยังไม่ถึง 70 ปี แต่พูดมาก พูดเยอะ อาชีพครูอาจารย์ จะทำให้เหนื่อยลึกๆ เช่นกัน พอม้ามชื้น จะอ้วนง่าย กินน้อยแต่อ้วน แนะนำให้กระตุ้นจุดมิ่งเหมินเอาไว้
อายุ 80 ลดลงมาที่ปอด เมื่อปอดเริ่มเสื่อม เกี่ยวกับการหายใจ คนเราทุกๆ สิบปีจะหายใจได้สั้นลง จนถึง 80 การหายใจอยู่ที่คอ เวลาหายใจเข้ายกปอด เพราะปอดเริ่มอ่อนล้า
อายุ 90 ลดลงมาที่ไต ไตเริ่มพร่อง การจัดการเรื่องน้ำไม่ดี ต้องระวังการบวมน้ำและการขับของเสีย
การกระตุ้นและบำรุงธาตุไฟ ให้สมดุลจะช่วยให้เหมือนมีอายุ 10-30 ปี
แนะนำให้บริหารจุดมิ่งเหมินเอาไว้ เพื่อถ่วงวันวานแห่งความชราเอาไว้
เพราะจุดมิ่งเหมิน เป็นจุดกระตุ้นธาตุไฟที่ดีและง่ายที่สุด
เป็นจุด ประตูแห่งพลังชีวิต และจะเป็นจุดสุดท้ายที่ธาตุไฟจะดับลง
เมื่อเราเสียชีวิตลงแล้ว
วิธีการกระตุ้นจุดมิ่งเหมินนี้
ใช้ในการลดความอ้วนสำหรับคนกินน้อยแต่อ้วนง่ายได้ดีอีกด้วย
เพราะคนกลุ่มนี้การเผาผลาญต่ำเกินควร
ลองทำตามลิงค์นี้ดูนะครับ
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=155833024579039&set=a.153415624820779.1073741828.152788904883451&type=1&theater
ธาตุไฟ ช่วยผลักดันธาตุทั้งหมดให้ก่อเกิดชีวิต
และมันก็ได้กลืนกินธาตุทั้งหมดให้สิ้นไปเช่นกัน...
"ความรู้โบราณ อายุนับพันปี
ถ่ายทอดผ่านร้อยชั่วคน
แต่บางคน...ชั่วชีวิต กลับมิเคยได้รู้..."
เคล็ดลับจากศาสตร์โบราณ เพื่อคนยุคใหม่
โดย Admin : ผีเสื้อหน้าหยก
Facebook คันฉ่องสุขภาพ
ขอบคุณรูปจาก
http://www.pxleyes.com/drawing-picture/4bdb882483ca4/The-Candle.html
http://imos-journal.net/?p=6049
http://www.youphuket.com/index.php?topic=264.0
Monday, May 6, 2013
กระเพาะปัสสาวะของคุณเก็บน้ำได้เท่าไหร่?
ทำอย่างไรให้ลดการปัสสาวะกลางคืน..
ผู้เฒ่าผู้แก่ ต้องลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำกลางคืน
เพราะกระเพาะปัสสาวะลดประสิทธิภาพการทำงานลง
แต่สำหรับบางคน อายุยังไม่เท่าไหร่ก็ต้องตื่นขึ้นมาปัสสาวะเช่นกัน
หากปล่อยไปเช่นนี้ ยิ่งอายุมากขึ้น อาการคงเป็นหนักขึ้นกว่าตอนนี้
สาเหตุที่ควรรู้ของการตื่นมาปัสสาวะกลางคืนนอกจากความชราได้แก่
1. เพราะเคยกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
คนกลุ่มนี้มักเคยอั้นปัสสาวะบ่อย
ผู้หญิงบางท่านไม่กล้าเข้าห้องน้ำทั่วไปเพราะกลัวสกปรกบ้าง
ต่อคิวนานเกินไป
หรืออาจจะต้องเผชิญกับรถติด
คนที่เคยมีปัญหากระเพาะปัสสาวะอักเสบ
มักมีปัญหาอยู่เรื่อยไป แก้ไม่หายขาดสักที
2.ความเย็นแทรกเข้ามาจากเท้า ทำให้กระเพาะปัสสาวะหดตัว
ยิ่งบางคนขี้หนาว มือเย็นเท้าเย็นง่าย
เลือดน้อยอยู่แล้ว
ยิ่งต้องระวังอากาศเย็นๆเกินไป
3. กินอาหารไม่เลือกมีไขมันมาก ทางเดินอาหารถูกเคลือบไว้ด้วยน้ำมัน
น้ำมันเหล่านั้นทำให้ร่างกายดูดซึมน้ำได้ไม่ดี
น้ำที่ดื่มเข้าไปก็ถูกขับออกทางระบบปัสสาวะ
สังเกตว่าคนกลุ่มนี้หากดื่มน้ำเข้าไปไม่นานก็ต้องไปเข้าห้องน้ำ ปัสสาวะ
แนวทางที่ช่วยฟื้นฟูกระเพาะปัสสาวะคือ
1.งดอาหารมันเพื่อทำความสะอาดลำไส้ให้ดูดซับน้ำได้ดีขึ้น
2.ใส่ถุงเท้าก่อนนอน
เพื่อรักษาความอบอุ่นที่เท้าเอาไว้
3.งดดื่มน้ำเป็นแก้วๆ หลังจากห้าโมงเย็นเป็นต้นไป
แต่ให้ดื่มน้ำเป็นคำๆแทน
กระหายน้ำเมื่อไหร่
ก็แค่จิบน้ำหนึ่งถึงสองคำ
(งดอาหารรสจัดๆ หรืออาหารกระหายน้ำจะช่วยได้ดีมาก)
4.ยืดเส้นกระเพาะลมปราณกระเพาะปัสสาวะ
เพื่อให้เส้นลมปราณนี้แข็งแรง
เส้นลมปราณกระเพาะปัสสาวะเป็นเส้นลมปราณที่ยาวที่สุด
และมีจุดลมปราณมากที่สุดในร่างกาย
เส้นจะผ่านทางเส้นส่วนแผ่นหลัง
ลากตั้งแต่หัวตาจนถึงปลายเท้า
"คนที่มีปัญหากระเพาะปัสสาวะบ่อยๆ
ยามชรามักมีปัญหาเกี่ยวกับดวงตาอีกด้วย"
ท่าสำหรับยืดเส้นลมปราณคือ
นั่งเหยียดเท้า แล้วเอามือพยายามแตะที่ปลายเท้า
โดยให้สายตามองที่ปลายเท้า
หายใจนับหนึ่งถึงห้า
แล้วยืดตัวขึ้นทำซ้ำห้าครั้ง
หากมือแตะไม่ถึงปลายเท้า ให้แตะเท่าที่แตะได้ไกลสุด
ท่านี้ห้ามโค้งหลังเพื่อให้แตะถึง
แต่ให้พับตัวโดยให้หลังตรง
เน้นยืดที่ส่วนเอว ขยายสะโพก
ไม่จำเป็นต้องแตะให้ถึง แต่ให้รู้สึกได้ยืดก็พอ
หากให้คนช่วยดันหลังจะยืดได้ง่ายขึ้น
แต่อย่างไรต้องจำไว้ว่า "ห้ามโค้งหลัง"
หากทำไม่ได้จริงๆ
ให้พับเข่าและพับขาดังรูปนะครับ
ทำทุกๆวันนะครับ
การได้หลับใหลยามค่ำคืน
เป็นสุขอย่างยิ่ง...
แบ่งปันเคล็ดลับยามค่ำคืนนี้ให้แก่กันและกันนะครับ
หวังว่าค่ำคืนนี้ขอให้ใครสักคนได้หลับนานขึ้นบ้าง ;)
Wednesday, May 1, 2013
ทุกวันนี้คุณนอนได้วันละกี่ชั่วโมง? เหมาะสมกับวัยของคุณหรือไม่?
หากเด็กไม่ได้หลับเพียงพอ สมองจะพัฒนาช้า...
หากวัยรุ่น นอนไม่พอ ก็จะไม่สูง...
หากผู้ใหญ่อดนอน จะแก่ชราเร็ว...
แต่สำหรับผู้เฒ่าทั้งหลาย
แม้อยากนอน ก็ยากที่จะหลับลงได้...
รู้ไหม? โดยเฉลี่ย
เมื่อเราเป็นเด็ก เราหลับได้นานมากถึง 16 ชั่วโมงต่อวัน
และเมื่อเป็นวัยรุ่น เราหลับน้อยลง คือเหลือแค่ 9 ชั่วโมง ต่อวัน
สำหรับในผู้ใหญ่ เราจะหลับน้อยลงไปอีกคือ แค่ 7-8 ชั่วโมง ต่อวัน
สุดท้าย เมื่อเราอายุมากแล้ว เราหลับได้เพียงวันละแค่ 5 ชั่วโมงเท่านั้น
ไม่ใช่คนเฒ่าคนแก่เหล่านั้นไม่อยากนอน
เพียงแต่ว่าเขานอนยาวนานไม่ได้
เพราะกระเพาะปัสสาวะที่ไม่อาจเก็บกักน้ำได้ดีเหมือนเดิม จึงต้องลุกขึ้นตื่นมาเข้าห้องน้ำกลางดึก
หากคุณสามารถหลับได้ดีในวันนี้
จงอย่าลังเลที่จะทำมันเลย
แบ่งปันเพื่อเตือนสติให้กันและกันนะครับ
บทความที่เกี่ยวข้อง
เคล็ดลับสำหรับคนนอนไม่หลับ
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=155514667944208&set=a.153415624820779.1073741828.152788904883451&type=1&theater
เคล็ดลับสำหรับคนนอนดึก
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=155170057978669&set=a.153415624820779.1073741828.152788904883451&type=1&theater
"ความรู้โบราณ อายุนับพันปี
ถ่ายทอดผ่านร้อยชั่วคน
แต่บางคน...ชั่วชีวิต กลับมิเคยได้รู้..."
เคล็ดลับจากศาสตร์โบราณ เพื่อคนยุคใหม่
โดย Admin : ผีเสื้อหน้าหยก
Facebook คันฉ่องสุขภาพ
Credit photo by
http://allusesof.com/get-a-baby-to-sleep-through-the-night/
http://gedlab.com/the-skill-of-sleeping/
http://blog.eventbrite.com/11-ways-to-improve-your-sleeping-habits/
http://sleepdisorders.dolyan.com/the-prevalence-of-advanced-sleep-phase-syndrome-on-older-people/
หนึ่งสมอง...หนึ่งหัวใจ... ดูแลอย่างไร....ให้สมดุล...
มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ
แตกต่างจากสิ่งมีชีวิตอื่น
โดยเฉพาะ "สมอง" ของเราอยู่สูงกว่า "หัวใจ"
แต่สัตว์สี่เท้าทั้งหลายที่ยังไม่ได้มีวิวัฒนาการเท่ามนุษย์
กลับมีสมองอยู่ในระดับเดียวกับหัวใจ
ช่วงเวลา ประมาณ 11โมง ถึงบ่ายโมง
เป็นช่วงเวลาของหัวใจพอดี
"ช่วงนี้ไม่ควรออกกำลังกายอย่างเด็ดขาด
เสี่ยงต่อการเกิดหัวใจวายได้"
และหากใครรู้สึกง่วงเหนื่อยล้า
แนะนำให้นอนราบเพื่อลดการทำงานของหัวใจ
เมื่อสมองและหัวใจอยู่ในระดับเดียวกัน
หัวใจก็ไม่ทำงานหนัก สมองก็ได้รับเลือดอย่างเต็มที่
สังเกตไหมครับว่า
คนสูงอายุ จะนอนทั้งวัน เพราะ
หัวใจและสมองของเขาเริ่มอ่อนล้าลง
หากเราเริ่มรู้สึกอ่อนล้าบ้าง
ให้รีบปรับสมดุลก่อน
สมองและหัวใจจะได้ทำงานควบคู่กันไปได้อีกยาวนาน
อย่าฝืนนะครับ
หากสมองเหนื่อยล้า คิดอะไรไม่ออก
ลองทำดูสักสิบห้านาที
ความเสื่อมของเซลล์เราไม่เท่ากัน...
ความเสื่อมของเซลล์เราไม่เท่ากัน...
เราต้องอดทนดูแลตามรอบอายุเซลล์
ไม่ช้า... ไม่เร็วกว่านี้...
จึงเห็นผลอย่างแท้จริง...
ระยะเวลาที่ควรอดทนที่ควรรู้ไว้...
"เซลล์ผิวหน้ามีอายุ 28 วัน
เซลล์ตับมีอายุ 6 สัปดาห์
เซลล์เม็ดเลือดแดงมีอายุ 120 วัน"
1.ผิว
เมื่อเราบำรุงผิวพรรณ
ไม่ว่าด้วยสารบำรุงใดๆ ทั้งภายนอกและภายใน
เราต้องรอให้เซลล์ผิวชุดเก่าผลัดออกไปก่อน
จึงเผยผิวใหม่ออกมาให้เราเห็นอย่างเต็มที่
วิธีการบำรุงผิวมีมากมาย
เทคนิคดูแลผิวคงจะได้แนะนำต่อไป...
เพราะมีเรื่องราวค่อนข้างเยอะมาก
แต่ที่อยากจะแนะนำเลยก็คือ
ให้ลดการล้างหน้าด้วย สบู่ เจลและโฟม
ใช้ในปริมาณที่น้อยลงในยามเช้า
เพราะตอนนอนเราไม่ได้สกปรกอะไร
ในยามหลับผิวจะค่อยๆ ฟื้นฟู
สร้างสารเคลือบผิวธรรมชาติออกมา
2. ตับ
"การล้างพิษตับให้หมดจด
ก็ต้องล้างพิษโดยงดอาหารมันๆ"
ต่อเนื่องกัน 6 สัปดาห์
เมื่อเซลล์ตับรุ่นเก่าตายไปหมด
อีก 6 สัปดาห์ เซลล์ตับจะเปลี่ยน
เป็นเซลล์ชุดใหม่ทั้งหมด
หากล้างพิษตับได้ผลดี
ผิวจะผ่องใส ดวงตาขาวเป็นประกาย
ไม่ดูหมองมัว
วิธีการบำรุงตับ
เพียงงดไขมัน 6 สัปดาห์
งดอาหารผัดน้ำมันให้หมด
เพราะไขมันจะไปเกาะตับ
ทำให้ตับทำงานหนัก
พอน้ำหนักลดลงสัก 3 กิโลกรัม
จะดูหนุ่มสาวขึ้นอย่างแน่นอน
3. เลือด
บำรุงเลือดก็เช่นกัน
ต้องบำรุงต่อเนื่อง 120 วัน
เซลล์เม็ดเลือดแดงในปัจจุบัน
คือผลพวงจากพฤติกรรมในอดีตที่ผ่านมา 120 วัน
ดังนั้น หากต้องการบำรุงเซลล์เม็ดเลือดแดงให้ได้ดี
ต้องบำรุงต่อเนื่องยาวนานเช่นนี้จึงเห็นผลจริง
ไม่ควรวัดผลเพียงเดือนหรือสองเดือน
เมื่อเซลล์เม็ดเลือดแดงดี
อวัยวะทั้งหมดจะดีขึ้น
เพราะการรับส่งออกซิเจน กับของเสียดีขึ้นทั้งหมด
อวัยวะกลวงทั้งห้า ตันทั้งห้า
อันได้แก่ ปอด ตับ หัวใจ ลำไส้ ม้ามฯลฯ
ก็จะแข็งแรงอย่างยั่งยืน
เมื่อถูกเลือดที่แข็งแรงมาหล่อเลี้ยง
เทคนิคบำรุงเลือด
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=161189584043383&set=a.153415624820779.1073741828.152788904883451&type=1&theater
แถมทิ้งท้ายสำหรับคนมีปัญหาเรื่องเส้นผม
เซลล์รากผมนี้เป็นเซลล์ที่มีอายุยืนยาวมากๆ
เชื่อหรือๆไม่ครับ
เซลล์รากผมของเรามีรอบอายุเซลล์ได้ถึง 7 ปี
ดังนั้นคนที่ศีรษะบางจะเห็นได้ชัดเมื่อผ่านไปแล้ว 7 ปี
หน้าของคนจึงเปลี่ยนไปทุกๆ 7 ปีเช่นกัน
บางคนผมหงอก...
บางคนผมบาง...
บางคนผมเส้นเล็กลง...
ดังนั้นการบำรุงเซลล์รากผมให้ดีที่สุด
คือต้องใช้เวลาบำรุงถึง 7 ปี
จึงจะกลับมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ
แต่มักไม่มีใครอดทนได้เช่นนั้น
ที่ศึกษากันจริงๆ มักใช้ยาช่วยเร่งเซลล์รากผมให้งอกเร็วขึ้น
เมื่องอกเร็ว ก็โตเร็ว และตายเร็ว
จึงหยุดใช้ยาไม่ได้
ลองตามไปดูนะครับ
เซลล์รากผมของเราสามารถฟื้นฟูได้จริงๆ
เพียงแต่คนมากมาย ใจร้อนกว่าอายุรอบเซลล์เท่านั้นเอง
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=523869960989646&set=a.191300487579930.39571.184604494916196&type=1&theater
"รู้ถึงรอบอายุเซลล์ในกาย
จึงไม่งมงาย...ในการบำรุงรักษา
อย่าเพิ่งร้อนใจ... หากยังไม่เห็นผล
รอให้รอบเซลล์ใหม่ผลัดเปลี่ยน
จึงค่อยสรุปผล..."
"ยังไม่เสร็จศึก อย่าเพิ่งนับศพทหาร"
แบ่งปันความเข้าใจนี้ให้แก่กันและกันนะครับ
ดับพิษร้อนในลำไส้... แก้ร้อนใน มีกลิ่นปาก ลิ้นเป็นฝ้า ท้องผูก
ความร้อนที่เกิดการหมักหมมของกากในลำไส้
มาจากจุลินทรีย์กว่าสี่ร้อยสายพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในลำไส้ของเรา
จุลินทรีย์เหล่านี้เวลาย่อยอาหาร
จะเกิดความร้อนขึ้น
เหมือนกระบวนการหมักภายนอกทั่วๆไป
ความร้อนส่วนที่เกิน
ทำให้เกิดการปะทุของแผลในปาก
มีกลิ่นปากประจำตัว
ริมฝีปากแห้ง แดง ร้อน
ลิ้นมักเป็นฝ้าขาว
เลือดกำเดาไหล
ท้องผูกและท้องอืดบ่อย
ความร้อนในลำไส้ยังทำให้ลำไส้สกปรก
เพราะกากอาหารจะค่อนข้างเหนียว ขาดน้ำ
เกาะติดเป็นตะกรันที่ผนังลำไส้
ร่างกายจะดูดซึมพิษเหล่านี้กลับเข้าสู่กระแสเลือดต่อไป
พวกนี้จะมีอาการนอนหลับยากครับ
เพราะจะท้องอืดง่ายมาก ลมตีขึ้นมา หรือไม่ก็ตีลงไปตลอด
ต้องรอให้หายท้องอืดก่อนจึงจะหลับลงได้
บางรายหายใจสั้น ถี่ ไม่ทั่วท้อง
ดังนั้นหากลมแน่นเกินไป ให้ทานน้ำขิงหรือขมิ้นชันเพื่อขับลม
วิธีการรักษาอาการร้อนใน
ไม่อาจจะใช้ด้วยการดื่มน้ำมากๆได้อย่างเดียว
เพราะกระเพาะของเรามีขีดจำกัดในการรับน้ำ
หากรับน้ำไปมากเกิน กรดในกระเพาะก็จะเจือจาง
ท้องจะอืด อาหารกลับไม่ย่อย ไปเน่าเสียที่ลำไส้อีก
ดับพิษร้อนในลำไส้ทำอย่างไร
1. ปรับเรื่องกากอาหารในลำไส้ หากกากในลำไส้เป็นอาหารประเภทแป้ง ไขมัน
แนะนำให้เพิ่มกากใยพวกผักลงไป กากใยเหล่านี้ไม่ได้ถูกย่อยได้ง่าย
เหมือนแป้ง และกากใยเหล่านี้ค่อนข้างอุ้มน้ำ ให้ลำไส้ชุ่มฉ่ำ
แต่แป้งและไขมัน มีแต่จะรัดตัวเหนียวขึ้นเรื่อยๆ
ทำให้ขับถ่ายยากภายหลังอีกด้วย
สิ่งที่อยากจะให้งดเลยก็คือ นม ขนมปัง ลองงดสักหนึ่งสัปดาห์ดู
จะช่วยได้มาก
2. กินของฤทธิ์ขม เช่นน้ำต้มมะระ หรืออาจจะซื้อยาขมมากินเลยก็ได้
จะช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย วิธีนี้ช่วยได้ดีมากสำหรับคนใจร้อน
เพราะฤทธิ์ขม แตะลิ้นใคร หายโกรธ หายแค้นทันที
ไม่เชื่อลองทำดูได้ครับ หากโกรธๆ อยู่ เอาฟ้าทะลายโจรมาอมไว้ใต้ลิ้น
รับรอง โกรธไม่ออกเลยครับ
เทคนิคนี้ เอาไปใช้กับพ่อบ้านแม่บ้านที่ขี้โกรธ ขี้หงุดหงิด ใส่แฟนนะครับ ;)
3. กินผักใบเขียวฤทธิ์เย็นต่อไปนี้ ได้แก่
ใบบัวบก ย่านาง แนะนำอย่ากินน้ำใบบัวบกแช่เย็นเกินไป
เพราะฤทธิ์ของความเย็น จะทำให้ปวดขา เส้นลมปราณกระเพาะ
ต่อลงไปผ่านหน้าแข้ง ทำให้พวกนี้ขาหมดแรง ปวดลึกๆ
หากต้องการกินใบบัวบก ก็อย่ากินเย็นจัดๆ เพราะหากบรรเทาอาการร้อนได้
เดี๋ยวต้องมาแก้อาการเย็นอีก
"ปวดเพราะร้อน จะปวดอักเสบ
ปวดเพราะเย็น จะปวดเข้ากระดูก"
อันว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย
หากโตเร็ว ย่อมแก่และตายเร็ว
ความร้อนภายในที่มากเกิน
เร่งความเป็นไปเหล่านั้น....
แบ่งปันเคล็ดลับก่อนนอนให้แก่กันนะครับ
Monday, April 29, 2013
จะเข้โบราณ...
นักเล่นจะเข้โบราณ
เชื่อว่าฝีมือเล่นจะเข้ของตนล้ำเลิศที่สุด
เขาไปยังตลาด เพื่อจะแสดงฝีมือให้ประจักษ์
ชาวบ้านนึกว่าเขาจะมาเล่นดนตรีร่วมสมัย
จึงออกันเข้ามาจะฟัง
แต่เสียงจะเข้โบราณนั้นนุ่มนวลและแผ่วเบาเกินไป สำหรับในตลาดอันเซ็งแซ่และวุ่นวาย..
ผู้คนจึงต่างแยกย้ายกันไปทำธุระของตน
เหลือเพียงคนเดียวที่ยังยืนฟังอยู่
นักเล่นจะเข้มีความยินดีว่ายังมีคนชื่นชมในฝีมือของตน
จึงถามว่า
"ท่านมีความเห็นประการใด โปรดวิจารณ์ด้วยเถิด?"
ชายผู้นั้นตอบว่า
"โต๊ะที่ท่านวางจะเข้อยู่นั้นเป็นของข้า
ข้าเพียงรอจะเอามันกลับบ้าน..."
ความสามารถทั้งปวง...
หากแสดงผิดที่...ผิดเวลา...
ก็ไม่ต่างจากอัญมณีในความมืด...
"ความรู้โบราณ อายุนับพันปี
ถ่ายทอดผ่านร้อยชั่วคน
แต่บางคน...ชั่วชีวิต กลับมิเคยได้รู้..."
เคล็ดลับจากศาสตร์โบราณ เพื่อคนยุคใหม่
โดย Admin : ผีเสื้อหน้าหยก
Facebook คันฉ่องสุขภาพ
ขอบคุณเนื้อหาจาก
หนังสือ "ส่องชีวิตด้วยข้อคิดจีน"
Credit Photo by
http://www.loc.gov/pictures/item/2011661257/
ถ่ายทุกๆเช้า อย่ารอสวนล้างลำไส้
ถ่ายทุกเช้า ล้างลำไส้...
ไม่ต้องรอสวนล้าง...
ป้องกันการ "เน่าใน"
ผิวใส...ไร้สิว...และไซนัส
ของเสียที่หมักหมมที่ลำไส้เมื่อย่อยแล้วรอการขับถ่ายออก
จะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดอีกครั้งที่ลำไส้ใหญ่
แก๊สและของเหลวที่ดูดซึมเข้าไป
จะทำให้ปวดศีรษะ และเป็นพิษต่อเลือด
คนที่ไม่ถ่ายท้อง จะมีอาการหายใจสั้น หายใจไม่ออก
เพราะชี่จากปอดต่อกับลำไส้
หากลำไส้ผิดปรกติปอดก็จะผิดปรกติด้วย
ผิวพรรณก็จะไม่ใส เป็นสิว ผิวมัน
เพราะเนื่องจากมีสารพิษหมักหมมอยู่ภายใน เรียกว่า "เน่าใน"
หากท้องผูกบ่อยๆ ให้ระวังไซนัส
เพราะจุดของเส้นลมปราณลำไส้ใหญ่
ต่อมาถึงข้างจมูก ชื่อว่าจุดอิ๋งเซียง
ใครมีปัญหาไซนัส
ต้องใส่ใจเรื่องการขับถ่ายให้มากนะครับ
หากเราไม่ถ่ายทุกๆ เช้า
อาหารก็จะเริ่มเน่าเสียภายในตัวเรา
เรากินทุกๆ วัน ต้องขับถ่ายทุกๆ วัน
ขอแนะนำปฏิบัติการ "กระทุ้งกากใย"
1. ตื่นขึ้นมา ดื่มน้ำขิงอุ่นๆ เพื่อเพิ่มความร้อนภายในช่องท้อง
จากนั้นเริ่มกดจุด อิ๋งเซียง อยู่บริเวณข้างจมูกดังรูป
กดเป็นจังหวะ และปล่อย ตามจังหวะการเต้นหัวใจ
นับหนึ่งถึงยี่สิบ แล้วพัก แล้วเร่ิมกดใหม่
ทำเช่นนี้จนกว่าจะอยากเข้าห้องน้ำ
วิธีนี้กดได้ทุกๆ วัน กดให้เจ็บน้อยๆ
2. หากยังไม่รู้สึกอยากจะขับถ่าย
ให้เริ่มบริหารช่องท้อง โดยการนอนราบมือขนาบกดข้างพื้น
แล้วยกขาขึ้นเป็นรูปตัวแอล วางขาลง
เหมือนกับการกระตุ้นจุดมิ่งเหมิน(วิธีนี้ช่วยให้ผอมอีกด้วย)https://www.facebook.com/photo.php?fbid=155833024579039&set=a.153415624820779.1073741828.152788904883451&type=1&theater
3.หากลำไส้ดื้อ ทั้งบริหารและกระตุ้นจุดแล้วยังไม่ขับถ่ายอีก
ให้ใช้วิธีดื่มน้ำ 5 แก้วดู การดื่มน้ำ 5 แก้วจะค่อนข้างผะอืดผะอม
สำหรับบางคน จึงแนะนำสำหรับคนที่ทำได้เท่านั้น
คือค่อยๆ ดื่มน้ำลงไปประมาณ 2-3 ลิตร ค่อยๆ ดื่มห้ามกินอาหาร
หากยังดื่มไม่หมด เมื่อน้ำเข้าไปในร่างกายในปริมาณมาก
ถ้าระบายทางปัสสาวะไม่ทัน น้ำก็จะถูกระบายออกทางอุจจาระ
ทำให้กากใยอาหารที่ตกค้างในลำไส้หลุดออกมา
วิธีนี้ไม่แนะนำสำหรับคนที่ดื่มน้ำไม่ได้มาก
ไม่ควรมีโรคประจำตัวใดๆ ที่ดื่มน้ำไม่ได้เยอะ หรือมีอาการบวมน้ำ
ทำเฉพาะช่วงเช้าเท่านั้น หากเป็นริดสีดวง ให้ทำเช่นนี้ติดต่อกันสักสัปดาห์
แล้วดูอาการ จะลดการอักเสบบวมได้มากทีเดียว
เนื่องจากลำไส้ได้พักตัว สุดท้ายก้อนริดสีดวงที่ปูดออกมาจะหดกลับไปเอง
เมื่อลำไส้สะอาดและถ่ายเป็นปรกติแล้ว ไม่ต้องทำทุกๆวัน
เพราะการดื่มน้ำทีละมากๆ กระทบไตและกระเพาะปัสสาวะเช่นกัน
4. สุดท้ายลองเอาผักผลไม้เข้าไปช่วยดู
เพราะว่า กากใยที่มาจากโปรตีน(เนื้อสัตว์)
และ คาร์โบไฮเดรต(แป้ง) จะสามารถรัดตัวเป็นก้อนเหนียวได้
ต้องกินผักผลไม้มากๆ เข้าไป
ผักผลไม้เหล่านี้จะไปกัั้นการรัดตัวของกากใยให้ขับถ่ายง่ายขึ้น
ผมแนะนำ ส้มโอ มะขาม ช่วยในการระบายได้ดี
หากปวดท้องถ่าย ต้องถ่ายทันที อย่าอั้นนะครับ
ไม่เช่นนั้นร่างกายจะขับถ่ายไม่เป็น
คนเรากินทุกๆวัน... ก็ต้องถ่ายทุกๆวัน....
"ความรู้โบราณ อายุนับพันปี
ถ่ายทอดผ่านร้อยชั่วคน
แต่บางคน...ชั่วชีวิต
กลับมิเคยได้รู้..."
เคล็ดลับจากศาสตร์โบราณ เพื่อคนยุคใหม่
โดย Admin : ผีเสื้อหน้าหยก
Facebook คันฉ่องสุขภาพ
Credit Photo by
http://www.pillfreevitamins.com/coloncleanse.htmhttp://www.chinesemedicine4you.com/?p=135http://www.wellness.uci.edu/water.htmlhttp://bloginabottle.com/uncategorized/slowfastfood.html
ไม่ต้องรอสวนล้าง...
ป้องกันการ "เน่าใน"
ผิวใส...ไร้สิว...และไซนัส
ของเสียที่หมักหมมที่ลำไส้เมื่อย่อยแล้วรอการขับถ่ายออก
จะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดอีกครั้งที่ลำไส้ใหญ่
แก๊สและของเหลวที่ดูดซึมเข้าไป
จะทำให้ปวดศีรษะ และเป็นพิษต่อเลือด
คนที่ไม่ถ่ายท้อง จะมีอาการหายใจสั้น หายใจไม่ออก
เพราะชี่จากปอดต่อกับลำไส้
หากลำไส้ผิดปรกติปอดก็จะผิดปรกติด้วย
ผิวพรรณก็จะไม่ใส เป็นสิว ผิวมัน
เพราะเนื่องจากมีสารพิษหมักหมมอยู่ภายใน เรียกว่า "เน่าใน"
หากท้องผูกบ่อยๆ ให้ระวังไซนัส
เพราะจุดของเส้นลมปราณลำไส้ใหญ่
ต่อมาถึงข้างจมูก ชื่อว่าจุดอิ๋งเซียง
ใครมีปัญหาไซนัส
ต้องใส่ใจเรื่องการขับถ่ายให้มากนะครับ
หากเราไม่ถ่ายทุกๆ เช้า
อาหารก็จะเริ่มเน่าเสียภายในตัวเรา
เรากินทุกๆ วัน ต้องขับถ่ายทุกๆ วัน
ขอแนะนำปฏิบัติการ "กระทุ้งกากใย"
1. ตื่นขึ้นมา ดื่มน้ำขิงอุ่นๆ เพื่อเพิ่มความร้อนภายในช่องท้อง
จากนั้นเริ่มกดจุด อิ๋งเซียง อยู่บริเวณข้างจมูกดังรูป
กดเป็นจังหวะ และปล่อย ตามจังหวะการเต้นหัวใจ
นับหนึ่งถึงยี่สิบ แล้วพัก แล้วเร่ิมกดใหม่
ทำเช่นนี้จนกว่าจะอยากเข้าห้องน้ำ
วิธีนี้กดได้ทุกๆ วัน กดให้เจ็บน้อยๆ
2. หากยังไม่รู้สึกอยากจะขับถ่าย
ให้เริ่มบริหารช่องท้อง โดยการนอนราบมือขนาบกดข้างพื้น
แล้วยกขาขึ้นเป็นรูปตัวแอล วางขาลง
เหมือนกับการกระตุ้นจุดมิ่งเหมิน(วิธีนี้ช่วยให้ผอมอีกด้วย)https://www.facebook.com/photo.php?fbid=155833024579039&set=a.153415624820779.1073741828.152788904883451&type=1&theater
3.หากลำไส้ดื้อ ทั้งบริหารและกระตุ้นจุดแล้วยังไม่ขับถ่ายอีก
ให้ใช้วิธีดื่มน้ำ 5 แก้วดู การดื่มน้ำ 5 แก้วจะค่อนข้างผะอืดผะอม
สำหรับบางคน จึงแนะนำสำหรับคนที่ทำได้เท่านั้น
คือค่อยๆ ดื่มน้ำลงไปประมาณ 2-3 ลิตร ค่อยๆ ดื่มห้ามกินอาหาร
หากยังดื่มไม่หมด เมื่อน้ำเข้าไปในร่างกายในปริมาณมาก
ถ้าระบายทางปัสสาวะไม่ทัน น้ำก็จะถูกระบายออกทางอุจจาระ
ทำให้กากใยอาหารที่ตกค้างในลำไส้หลุดออกมา
วิธีนี้ไม่แนะนำสำหรับคนที่ดื่มน้ำไม่ได้มาก
ไม่ควรมีโรคประจำตัวใดๆ ที่ดื่มน้ำไม่ได้เยอะ หรือมีอาการบวมน้ำ
ทำเฉพาะช่วงเช้าเท่านั้น หากเป็นริดสีดวง ให้ทำเช่นนี้ติดต่อกันสักสัปดาห์
แล้วดูอาการ จะลดการอักเสบบวมได้มากทีเดียว
เนื่องจากลำไส้ได้พักตัว สุดท้ายก้อนริดสีดวงที่ปูดออกมาจะหดกลับไปเอง
เมื่อลำไส้สะอาดและถ่ายเป็นปรกติแล้ว ไม่ต้องทำทุกๆวัน
เพราะการดื่มน้ำทีละมากๆ กระทบไตและกระเพาะปัสสาวะเช่นกัน
4. สุดท้ายลองเอาผักผลไม้เข้าไปช่วยดู
เพราะว่า กากใยที่มาจากโปรตีน(เนื้อสัตว์)
และ คาร์โบไฮเดรต(แป้ง) จะสามารถรัดตัวเป็นก้อนเหนียวได้
ต้องกินผักผลไม้มากๆ เข้าไป
ผักผลไม้เหล่านี้จะไปกัั้นการรัดตัวของกากใยให้ขับถ่ายง่ายขึ้น
ผมแนะนำ ส้มโอ มะขาม ช่วยในการระบายได้ดี
หากปวดท้องถ่าย ต้องถ่ายทันที อย่าอั้นนะครับ
ไม่เช่นนั้นร่างกายจะขับถ่ายไม่เป็น
คนเรากินทุกๆวัน... ก็ต้องถ่ายทุกๆวัน....
"ความรู้โบราณ อายุนับพันปี
ถ่ายทอดผ่านร้อยชั่วคน
แต่บางคน...ชั่วชีวิต
กลับมิเคยได้รู้..."
เคล็ดลับจากศาสตร์โบราณ เพื่อคนยุคใหม่
โดย Admin : ผีเสื้อหน้าหยก
Facebook คันฉ่องสุขภาพ
Credit Photo by
http://www.pillfreevitamins.com/coloncleanse.htmhttp://www.chinesemedicine4you.com/?p=135http://www.wellness.uci.edu/water.htmlhttp://bloginabottle.com/uncategorized/slowfastfood.html
ยืดเส้น... สายตา... แก้อาการตึง บ่า ไหล่
จากที่ได้แนะนำไป สองวิธี
ยังไม่พอที่จะแก้อาการตึงจากการใช้สายตาได้
จึงขอแนะนำวิธีการยืดเส้นเพื่อการมองเห็น
ที่แนะนำไปคือ ดึงเลือด บำรุงตา รักษาสมอง (ใช้ก่อนนอน)
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=165878880241120&set=a.153415624820779.1073741828.152788904883451&type=1&theater
กับ เจียระไนตา ระหว่างวัน
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=165785940250414&set=a.153415624820779.1073741828.152788904883451&type=1&theater
การมองเห็นของเราถูกค้ำยันจากเส้นชี่หลากหลายเส้น
เริ่มต้นของวันใหม่ เราจึงควรยืดเส้นเหล่านี้ไว้
ช่วยให้สายตาชัดเจน ความคิดจะแจ่มชัด
เส้นลมปราณที่สำคัญมากของการมองเห็นคือ
เส้นลมปราณกระเพาะปัสสาวะ
เพราะเส้นลมปราณนี้เร่ิมต้นจากที่หัวตา
ไปจรดที่เท้าเลยทีเดียว
และเส้นลมปราณนี้เองเป็นเส้นลมปราณที่มีจุดฝังเข็มมากที่สุด
คนที่มีปัญหาสายตา ตาพร่า
มักสัมพันธ์กับเส้นกระเพาะปัสสาวะนี้
เพราะเมื่อร่างกายขาดน้ำ
ปัสสาวะก็จะเหลือง เส้นลมปราณนี้จะเกิดเหนี่ยวรั้ง
บางคนเป็นถึงกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
พอเป็นบ่อยเข้า ก็กระทบที่ตา
"คนโบราณจึงกล่าวว่า
อั้นฉี่... ตาจะบอด...."
เพราะเส้นลมปราณมันถึงกันจริงๆ
หากเส้นนี้ตึงรั้ง การมองจะยิ่งต้องเพ่งมากขึ้น
ทำให้ปวดศีรษะ พร่ามัวง่าย
เพื่อป้องกันควรยืดเส้นที่เกี่ยวกับสายตานี้เอาไว้
วิธีการยืดเส้นลมปราณเพื่อบริหารสายตาก็คือ
ยืนตัวตรงอกผาย แขนแนบลำตัว
ความรู้สึกอยู่ที่สายตา
วาดแขนชี้ขึ้นข้างตัว เหยียดตรงขึ้นไปเหนือศีรษะ
ตามองที่หัวแม่มือ หายใจเข้า
สังเกตเส้นด้านหลังที่ต่อกับตวงตาจะยืดออก
เส้นนี้เป็นเส้นกระเพาะปัสสาวะ ต่อกับหัวตาที่จุดจิงหมิง
พยายามยืดให้สูงที่สุดเท่าที่จะยืดได้
จะช่วยยืดบ่า ไหล่ที่เกิดจากการตึงจากการเพ่งสายตา
จากนั้นวาดมือลง พับตัวลง เอามือแตะปลายเท้า
หากแตะไม่ถึงให้งอเข่าจนแตะถึง พร้อมหายใจออก
ถ้าทำได้ เส้นกระเพาะปัสสาวะจะยืดได้ตลอดเส้น
ช่วยผ่อนคลายลดอาการตึงจากสายตา
ฝึกไว้ทุกๆเช้า นะครับ
ผมได้แนะนำวิธีบำรุงสายตาไว้ทั้งเช้า กลางวันและก่อนนอนแล้ว
ลองติดตามทำให้สม่ำเสมอนะครับ
ขอให้ทุกๆคนได้เป็นเจ้าของ...
ดวงตาที่แข็งแรง สายตาที่ผ่อนคลาย
แด่ดวงตาทุกคู่
"ความรู้โบราณ อายุนับพันปี
ถ่ายทอดผ่านร้อยชั่วคน
แต่บางคน...ชั่วชีวิต กลับมิเคยได้รู้..."
เคล็ดลับจากศาสตร์โบราณ เพื่อคนยุคใหม่
โดย Admin : ผีเสื้อหน้าหยก
Facebook คันฉ่องสุขภาพ
ขอบคุณรูปจาก
http://www.fitsugar.com/latest/eye-health
ดึงเลือด...บำรุงตา... รักษาสมอง...
เด็กตาดำ... ปากแดง...
โบราณว่าเป็นเด็กที่เก่งกาจ
ตายิ่งดำขลับ ดูลึกล้ำมีประกาย
สะท้อนถึงสมองที่มีพลัง
(ส่วนปากแดงมีใครเดาได้ไหมครับว่าหมายถึงอะไร?)
"ดวงตาเราต่อกับสมอง
หากสมองดี ดวงตาแจ่มชัดเป็นประกาย
เมื่อใดสมองขาดออกซิเจน
ดวงตาก็จะเบลอให้เห็นเช่นกัน"
ในกลางวันหากดวงตาเราอ่อนล้า
ได้แนะนำวิธีผ่อนคลายดวงตาระหว่างวันไปแล้ว
ตามลิงค์นี้เลยครับ
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=165785940250414&set=a.153415624820779.1073741828.152788904883451&type=1&theater
ตอนนี้ให้ลองกลับมาทำตามแบบเมื่อกลางวันก่อน
แล้วจึงค่อยดึงเลือด...มาบำรุงตา...
เริ่มด้วยการนอนราบบนเตียง
นอนที่ขอบที่นอน ห้อยส่วนเฉพาะกระหม่อมศีรษะลงมา
ไม่ต้องห้อยทั้งหัวเพราะจะมึนได้
เอาแค่ส่วนกระหม่อมก็พอ
ยกขาขึ้นพาดกำแพงหรือหัวเตียง
ช่วยให้เลือดมาเลี้ยงสมองมากขึ้น
หลับตา เอาฝ่ามือทั้งสองวางซ้อนกัน
กดลงที่กลางกระหม่อมศีรษะ
แล้วหมุนฝ่ามือวนตามเข็มนาฬิกา
เลือดที่ไหลลงมาเลี้ยงศีรษะจะถูกกระจายออก
ไปหล่อเลี้ยงจุดสำคัญต่างๆ ทั้้งห้าบนศีรษะที่ถูกกดและหมุนอยู่บริเวณนั้น
อันได้แก่ จุดไป๋ฮุ้ย และจุดซื่อเสินชงทั้งสี่จุด
ซึ่งตัดกันกับสมองและต่อถึงดวงตา
สังเกต ทุกๆจุดที่หมุนให้สะเทือนถึงดวงตา
หากมีอาการหาว น้ำตาไหล ถึือว่าดีมาก
ทำเช่นนี้ก่อนนอนทุกๆ คืน จะช่วยบำรุงสมองและดวงตา
แบ่งปันเคล็ดลับก่อนนอนให้แก่กันนะครับ
"ความรู้โบราณ อายุนับพันปี
ถ่ายทอดผ่านร้อยชั่วคน
แต่บางคน...ชั่วชีวิต กลับมิเคยได้รู้..."
เคล็ดลับจากศาสตร์โบราณ เพื่อคนยุคใหม่
โดย Admin : ผีเสื้อหน้าหยก
Facebook คันฉ่องสุขภาพ
Credit photo by :www.joblox.com
เจียระไน... ดวงตา... ระหว่างวัน... สำหรับคนใช้สายตามาก...
แสงทั้งหลายทำให้ดวงตาพร่ามัว
การนั่งหน้าคอมพิวเตอร์นานๆ
แสงนีออนในออฟฟิส
แสงในห้างสรรพสินค้า
ทำให้เกิดอาการตาแห้ง ไม่สู้แสง และไม่สู้ลม
แสงสีอะไรที่ทำร้ายดวงตาได้มากที่สุด?
คำตอบก็คือ สีของธาตุทองครับ ซึ่งก็คือ "สีขาว"
ดังนั้นแสงขาวจะทำให้ตาอ่อนล้าได้่ง่ายที่สุด
ที่ๆขาวสว่างเกินไป ธาตุทองเด่นมากเกิน
ต้องเอาสีเขียวมาตัดเพื่อถนอมดวงตา
ตาเป็นอวัยวะทวารของธาตุไม้
สะท้อนจากอวัยวะตับและถุงน้ำดี
(หากคนเป็นโรคตับ ตาจะเหลือง)
การรักษาดวงตาธาตุไม้คือ
อาศัยสีของธาตุไม้ช่วยในการถนอมดวงตา
ดังนั้นหากต้องจ้องมองแสงสว่างนานๆ
ควรพักสายตาด้วยการมองสีเขียวของใบไม้
ควรเอาต้นไม้เล็กๆ ไว้ใกล้ตัว (เป็นต้นไม้ปลอมก็ได้)
การบริหารดวงตาทำได้อย่างไร
เอาฝ่ามือวางไว้บนกระหม่อม
อีกมือ โอบที่ท้ายทอย
สังเกตดูว่าจะร้อน หากดวงตาทำงานหนัก
ลืมตาขึ้น เหลือกตาขึ้นด้านบน
แล้วค่อยๆ มองลึกไปทางขวาสุดก่อน
วนลงมาด้านล่าง แล้วมองไปทางซ้าย
แล้วค่อยกลับขึ้นบน
แล้ววนกลับ 5 รอบ
ช้าๆ เนิบๆ
จากน้ันจ้องมองต้นไม้สีเขียว นับสิบลมหายใจ
หากมีความรู้สึกอยากหาว ให้หาวออกมา
น้ำตาไหลเอ่อออกมาถือว่าใช้ได้
ทำใหม่ซ้ำสักสามรอบ...
ระหว่างการกลอกตา แล้วท้ายทอยรู้สึกขยับตามถึือว่าใช้ได้
เพราะกระทบต่อจุดเฟิงฉือ และเทียนจู้
ซึ่งเป็นจุดที่ต่อกับเส้นลมปราณทางด้านหางตา และหัวตา ตามลำดับ
คนที่ใช้สายตามาก
จะปวดบ่า คอ ไหล่ หลังร่วมด้วย
แล้วคืนนี้มาต่อเรื่องการกายบริหารดวงตาเต็มรูปแบบก่อนนอนกันนะครับ
อัญมณีทั้งหลาย...
คงมิอาจเทียบค่ากับแก้วตาทั้งสอง...
แบ่งปันเคล็ดลับนี้ให้แก่กันนะครับ
"ความรู้โบราณ อายุนับพันปี
ถ่ายทอดผ่านร้อยชั่วคน
แต่บางคน...ชั่วชีวิต กลับมิเคยได้รู้..."
เคล็ดลับจากศาสตร์โบราณ เพื่อคนยุคใหม่
โดย Admin : ผีเสื้อหน้าหยก
Facebook คันฉ่องสุขภาพ
Credit Photo by
http://junket.igetweb.com/articles/41956682/igetweb-วิธีทำตาสีฟ้า.html
กินมากเกิน... แต่ยังผอม... ความทุกข์ใจ ที่ไม่ต่างจากคนกินน้อย แต่ก็ยังอ้วน...
เนื่องจากการเผาผลาญในร่างกายที่สูงเกินไป
ทำให้คนผอมต้องการพลังงานอยู่เสมอ
แต่การที่กินอาหารมากเกินไป
หรือกินหวานมากๆ เกินไป
ทำให้ร่างกายขาดพลังงานได้
เพราะกลไกของร่างกาย เมื่อได้รับน้ำตาลเข้ามาในกระแสเลือด
จะปล่อยฮอร์โมนที่ชื่อ อินซูลินออกมาเอาน้ำตาลกลับเข้าไปสู่เซลล์
ฮอร์โมนนี้ จะออกมามากหรือน้อย เนื่องจากปริมาณน้ำตาลในกระแสเลือดเป็นตัวเร่งเร้า
หากเรากินมากเกิน หรือกินหวานมากๆ เกิน อินซูลินก็จะถาโถมออกมามากเกิน
แล้วมาจัดการน้ำตาลปริมาณมหาศาลให้หมดไป
เมื่อน้ำตาลหมดไป อย่างรวดเร็ว
เราก็จะเกิดอาการขาดน้ำตาลอีก
ช่วงนี้เราจะเกิดอาการเพลีย เหมือนคนขาดพลังงาน
ทำให้อยากกินอีก....
ข้าวกล้องเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน
ที่ค่อยๆเปลี่ยนแป้งเป็นน้ำตาล
จะไม่ทำให้น้ำตาลในร่างกายสูงมากเกินไป
และฮอร์โมนอินซูลินก็จะไม่หลั่งออกมามากทีเดียว
ทำให้เราอิ่มนานขึ้น
ไม่เกิดอาการกวัดแกว่งของน้ำตาล
ทำให้หิวบ่อย
แต่คนผอม ไม่ว่าจะให้กินข้าวกล้องหรือข้าวขาว
เขาก็ยังติดนิสัยกินเยอะ อยู่ดี
เพราะสมองเขาเคยชินกับคำว่ายังไม่อิ่ม
ทำให้ปริมาณน้ำตาลที่ได้มาจากข้าวกล้อง
ก็ยังมากอยู่ดี แม้ว่ามันจะค่อยๆ สลายตัวเป็นน้ำตาล
เราต้องการให้น้ำตาลไม่กวัดแกว่งในกระแสเลือดมากเกินไป
เพื่อยุติอาการกินเหมือน"ปอบ"
แนะนำให้ดื่มน้ำข้าวกล้อง
เพราะน้ำข้าวกล้องจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นน้ำตาล
และเนื่องจากอยู่ในรูปแบบน้ำข้าว
สามารถดื่มได้ทั้งวัน
น้ำตาลในเลือดจะไม่กวัดแกว่ง
สุดท่้ายจะเลิกอาการกินคราวละมากๆลงได้
เมื่อเลิกกินคราวละมากๆ ได้
ก็จะสามารถเริ่มแก้และป้องกันปัญหาผอม แต่ลงพุงได้ด้วย
วิธีการทำน้ำข้าวกล้อง
เอาข้าวกล้องมาหุงสุก แล้วเก็บไว้ในช่องแข็งตู้เย็น
แบ่งเป็นถุงเล็กๆ
เมื่อต้องการกินในแต่ละวัน ก็เอามาใส่น้ำร้อนจัด
เอาไปกินที่ทำงานหรือที่บ้านก็ได้
หรือจะซื้อแบบสำเร็จรูปก็ได้ครับถ้าไม่สะดวก
หากไม่เลิกนิสัยกินมากๆได้
ไม่ว่าผอม หรืออ้วน ก็ลงพุงเหมือนกัน
อนึ่ง คนผอม นี้ร่างกายบางคนร้อนง่าย
ต้องกินผักเข้าไป เพื่อลดความร้อนในร่างกายไม่ให้เสื่อมเร็วเกินอีกด้วย
ไฟที่ลุกโชนอยู่ย่อมกระหายเชื้อ...เป็นธรรมดา
จงเรียนรู้วิธีคุมไฟในตัวให้สมดุล..
น้ำตาล เปรียบเหมือน "ฟาง"
แป้ง เปรียบเหมือน "กิ่งไม้แห้ง"
ข้าวกล้อง เปรียบเหมือน "ท่อนฟืน"
ผัก เปรียบเหมือน "ไม้สด"
แค่อยากให้...ทั้งคนอ้วนและคนผอม
ได้แชร์ความรู้สึกร่วมกัน....
"ความรู้โบราณ อายุนับพันปี
ถ่ายทอดผ่านร้อยชั่วคน
แต่บางคน...ชั่วชีวิต กลับมิเคยได้รู้..."
เคล็ดลับจากศาสตร์โบราณ เพื่อคนยุคใหม่
โดย Admin : ผีเสื้อหน้าหยก
Facebook คันฉ่องสุขภาพ
ขอบคุณรูปจาก
http://www.thai-publish.com/25166/ผอมได้-ผอมจริง-ผอมเร็ว-ไม่โทรม-ไม่กลับมาอ้วนอีก-ไม่ใช่ยา-เหมาะมากสำหรับคนรักการกิน-ไม่ต้องอดอาหาร-ปลอดภัยมากกก.html#.UXSgG8saySM
Subscribe to:
Posts (Atom)