Friday, July 11, 2014

ดวงดาว ส่งผลกับ เราอย่างไร




ดาวทุกๆ ดวงจะใกล้โลกได้ตามรอบของเวลา
เช่นบางคืนเราจะเห็นดวงจันทร์ใหญ่เต็มดวงมาก
ดวงจันทร์จะส่งผลต่อธาตุน้ำในโลกทั้งหมด
ส่งผลต่อฮอร์โมน และอารมณ์ของเพศหญิงเป็นอย่างมาก

แต่สำหรับดวงอาทิตย์นี้ จะมาตามรอบปี
กลับส่งผลต่อธาตุไฟแทน
เดือนเมษายนของทุกๆ ปี
ตะวันจะใกล้โลกมากที่สุด

และสำหรับวันพรุ่งนี้ ของเดือน
ดวงอาทิตย์ จะตั้งฉากกับกรุงเทพ
เวลา 12:16 น. ผ่านเหนือศีรษะของเราพอดี
หยางจะแกร่ง หยินจะพร่อง ที่สุดในรอบปี

ความร้อนจะไหลสู่เบื้องบน
ไม่ควรออกกำลังกายหรือทำงานอย่างหนักในช่วงนี้
หัวใจจะทำงานสูงเกินไป ทำให้เสียสมดุลชีพ
ในระยะนี้จนกว่าการโคจรจะห่างออกไปในอีกหนึ่งสัปดาห์

แนะนำทานอาหารฤทธิ์เย็น
ดื่มน้ำให้มาก เพื่อปรับสมดุล
หากมีอาการร้อนศีรษะมาก ปวดหัว ปวดกระบอกตา
แสดงว่าความร้อนสะสมมากเกินไปในร่างกาย
แนะนำให้ใช้ผ้าขนหนูชุบผ้าเย็น คลุมศีรษะ จนกว่าจะรู้สึกเบาตา
และเน้นนอนราบหากเกิดอาการตึงตา
ให้ความร้อนไม่คั่งอยู่ที่ศีรษะ
เพื่อให้ลดความตึงเครียดของร่างกายลง
อย่าพยายามฝืนใช้กำลังที่หักโหมเกินไป

"เมื่อไฟกองใหญ่ที่สุด เคลื่อน
ชีวิตทั้งมวลย่อมหวั่นไหว"

แบ่งปันเคล็ดลับนี้ ให้แก่กันและกันนะครับ

"ความรู้โบราณ อายุนับพันปี
ถ่ายทอดผ่านร้อยชั่วคน
แต่บางคน...ชั่วชีวิต กลับมิเคยได้รู้..."

เคล็ดลับจากศาสตร์โบราณ เพื่อคนยุคใหม่
Admin ผีเสื้อหน้าหยก
Facebook คันฉ่องสุขภาพ

Credit photo by:http://thehealthyhavenblog.com/2012/06/18/sun-safety/

หน้าร้อนแล้ว... ใครนอนไม่หลับบ้าง...






หน้าร้อนแล้ว... ใครนอนไม่หลับบ้าง...
เทคนิคการลดความร้อนภายใน...
ที่ง่ายดาย แต่หลายคนอาจไม่เคยรู้...

ความร้อนที่พอดีจะหล่อเลี้ยงมือและเท้าให้อุ่น
หากร้อนมากเกินไปจะไหลสู่อวัยวะเบื้องบน
ทำให้หายใจสั้น เกิดสิวปะทุ หน้าแดง
ผื่นแพ้ ปวดหัว ปวดตา และอื่นๆ อีกมากมาย

ก่อนเราจะนอน ร่างกายจะระบายเอาความร้อนส่วนเกิน
ซึ่งรับมาจากหยางในกลางวันออกไปจากร่างกาย
จึงทำให้เราเข้าสู่สภาวะหลับได้
ไม่เช่นนั้นจะกระสับกระส่าย ฟุ้งซ่าน
หากปล่อยไว้ไม่สมดุล กว่าจะสิ้นฤดูร้อน
จะทำให้เกิดปัญหาระยะยาวตามา

วิธีการเช็คความร้อนภายใน
เช็คดูก่อนว่าความร้อนเราไหลขึ้นเบื้องบนหรือไม่
ให้เอามือจับหลังคอของเราเอง
หากหลังคอเราร้อนกว่ามือ แสดงว่าความร้อนกำลังไหลขึ้นมากกว่า
หากมือเราอุ่นร้อนกว่าหลังคอ ถือว่าปรกติ

การเอาความร้อนส่วนเกินออก
ควรทำในตอนเย็น หลังอาบน้ำแล้ว
เพียงเอาผ้าชุบน้ำเย็นบิดให้หมาด
คลุมศีรษะและโดยเฉพาะหูเอาไว้
(ความร้อนที่มากเกินจะระบายออกทางส่วนหู
ตามเส้นลมปราณ หากคนหูแดงกว่าหน้า
แสดงว่าความร้อนกระเทือนถึงไต)
ให้เป่าพัดลม จนรู้สึกศีรษะเบาสบายค่อยเอาออก

หากความร้อนมีมาก
จนทำให้เกิดอาการลิ้นมีฝ้าขาว
ปัสสาวะเหลืองร้อน
หรือแม้แต่มีอาการปวดสะบักไหล่
แนะนำให้ดื่มยาขมร่วมด้วย
จะช่วยลดความร้อนภายในได้ดีขึ้น

ทำทุกๆ คืนก่อนนอนจะได้ผลดี
ต่อไปจะแนะนำจุดบนร่างกายที่เกี่ยวกับการนอนหลับนะครับ
วันนี้แค่นี้ก่อนนะครับ

"จงรีบดับไฟกองเล็ก ก่อนที่จะลุกลาม"

แบ่งปันเคล็ดลับนี้ ให้แก่กันและกันนะครับ

"ความรู้โบราณ อายุนับพันปี
ถ่ายทอดผ่านร้อยชั่วคน
แต่บางคน...ชั่วชีวิต กลับมิเคยได้รู้..."

เคล็ดลับจากศาสตร์โบราณ เพื่อคนยุคใหม่
Admin ผีเสื้อหน้าหยก
Facebook คันฉ่องสุขภาพ

Credit photo by: http://positivemed.com/2013/12/22/8-things-not-to-do-before-bedtime/

ยานอนหลับอะไรดี? ที่ไม่อันตราย และหาได้ง่าย?



หากคุณเป็นคนนอนหลับยาก
ร่างกายจะร้อนง่าย
เซลล์ก็จะตายเร็ว
และก็จะทำให้ร่างกายแก่เร็วนั่นเอง

ผ่านไปสักสิบปี
จะรู้ว่าเราทำไมแก่กว่าเพื่อนๆ
ก็เพราะเราหลับยากนี่แหละครับ

สิ่งที่ช่วยในการนอนหลับได้แก่
1. ยานอนหลับ มีหลายชนิด กินแล้วติด
2. เมลาโทนิน ในประเทศไทยไม่มีขาย ต้องซื้อจากต่างประเทศ บางคนกินแล้วฝันทั้งคืน
3. การออกกำลังกายแต่เช้า ทำให้เพลียตอนเย็น และหลับเร็วขึ้น อันนี้คือยาวิเศษ แต่ไม่ค่อยมีใครทำได้ดีนัก
4. อ่านหนังสือ ไปเรื่อยๆ ใช้ได้ดีกับคนที่ไม่ชอบอ่านหนังสือ อ่านกี่ทีก็หลับ อย่างนี้จะใช้ได้ดี แต่สำหรับหนอนหนังสือ คงเหมือนกับยาเร่งปฏิกิริยาการไม่นอนมากกว่า
5. อาบน้ำอุ่นๆ หรืออบซาวหน้า ให้เสียเหงื่อ จึงเกิดการเพลีย ไม่ดีสำหรับคนผิวแห้ง ขาดน้ำง่าย เพราะผมจะกรอบเสีย ผิวเสียได้ หากผิวไม่แข็งแรง
6. นมอุ่นๆ นมมีสารที่ช่วยทำให้หลับง่วง ผ่อนคลาย แต่ไม่เหมาะกับคนแพ้นม หากทานแล้วท้องอืดใหเใส่ขิงฝานลงไปอุ่นด้วยจะไม่ทำให้ท้องอืด
7. นั่งสมาธิบ้าง ทำจิตใจให้สงบบ้าง สวดมนต์บ้างหรือแม้แต่นับลูกแกะ ซึ่งมักเป็นสิ่งที่ไม่นิยมปฏิบัติกันนัก

สำหรับยาตัวหนึ่งที่อยากจะแนะนำ
ไว้สำหรับ หยุด ความฟุ้งซ่านได้ดีทีเดียว
และคิดว่าหาง่ายมากก็คือ
ยาขม ครับ (เช่นตราใบห่อ ตราน้ำเต้าทอง)
ยาขมตามร้านขายยา
ฤทธิ์ขมจะช่วยดับปฏิกิริยาทุกๆ อย่างของความฟุ้งซ่าน
ร่างกายเราจะ "เปลี้ย" เมื่อลิ้นเราได้รสขม

รสขมใช้ระงับ ความโกรธ ความฟุ้งซ่านได้เป็นอย่างดี

หากคืนไหนเราฟุ้งมาก ก็ดื่มสองซองเลยครับ
แต่มีข้อแม้คือ เราต้องดื่มเป็นซองๆ
ห้ามทานเป็นเม็ดๆ เราต้องการความขมวิ่งเข้าลิ้น
แล้วส่งผ่านไปที่หัวใจ
หัวใจของเราคือทวารของลิ้นครับ
เมื่อหัวใจสงบ ความฟุ้งซ่านก็จะสงบเอง

สำหรับแฟนใครที่หงุดหงิดง่าย ฉุนเฉียวง่าย
ลองชงให้ดื่มทุกๆ คืนดูครับ

ยาขมนี้ ทานแล้วช่วยลดความร้อนและอาการกระหายน้ำด้วยครับ

แบ่งปันเคล็ดลับสยบความฟุ้งซ่านนี้ ให้แก่กันและกันนะครับ

"ความรู้โบราณ อายุนับพันปี
ถ่ายทอดผ่านร้อยชั่วคน
แต่บางคน...ชั่วชีวิต กลับมิเคยได้รู้..."

เคล็ดลับจากศาสตร์โบราณ เพื่อคนยุคใหม่
โดย Admin : ผีเสื้อหน้าหยก
Facebook คันฉ่องสุขภาพ

Credit photo by: http://www.livescience.com/23812-supertasters-may-have-stronger-immunity.html

เราเป็นนักคิด หรือนักปฏิบัติ






หลายคนเป็นนักคิด....
หลายคนเป็นนักปฏิบัติ...
เราเป็นแบบไหน? อาจไม่รู้แน่ชัด
แต่เราถูกพัฒนามาจากแบบไหน?น่าจะรู้ได้ง่ายกว่า

เมื่อวัยเด็กคุณเดินก่อนพูด?
หรือคุณหัดพูดก่อนเดิน?

หากคุณเริ่มพูดตั้งแต่ก่อนจะหัดเดิน
คุณมีการพัฒนาการทางด้านการพูดและฟังมาก่อน
คุณเป็นนักฟังที่ดี เข้าใจในการสื่อสารที่ดีตั้งแต่ยังเด็ก
จึงทำให้คุณเป็นนักคิดได้ง่ายกว่านักปฏิบัติ ลงมือทำ
เพราะคุณพัฒนาการสื่อสาร ความคิด มาก่อนการกระทำ

หากเมื่อคุณเป็นเด็ก คุณหัดเดินมาก่อนพูด
คุณจะมีแนวโน้มที่จะใช้กำลังในการลงมือทำมากกว่า
ไม่ชอบคิดอะไรที่มันซับซ้อน ชอบลงมือทำเลย ลุยไปข้างหน้า
จำไว้ว่าคุณโตมาจาก....
"เด็กที่ล้ม แต่ไม่กลัวเจ็บ" มาก่อน

ในสังคมมีคนมากกว่าสองแบบเสียอีก
การวัดผลเพียงแค่การอ่านหนังสือเก่ง
คงใช้ได้เพียงแค่ช่วงในวัยเรียนเท่านั้น

สรรพสิ่งล้วนงดงามในแบบของตน

อย่าลืมกลับไปถามคนที่
สอนให้คุณพูด จับให้คุณเดินนะครับ

"ความรู้โบราณ อายุนับพันปี
ถ่ายทอดผ่านร้อยชั่วคน
แต่บางคน...ชั่วชีวิต กลับมิเคยได้รู้..."

เคล็ดลับจากศาสตร์โบราณ เพื่อคนยุคใหม่
โดย Admin : ผีเสื้อหน้าหยก
Facebook คันฉ่องสุขภาพ

รังแค...เรื้อรัง คันทั้งปี...ทั้งชาติ ไม่ใช่เพราะสกปรก... แต่เพราะผิวอายุสั้นเกินไป...





อาการรังแคคืออาการที่ผิวลอกร่อนเร็วกว่ากำหนด
เพราะนอนดึก ทำงานหนัก พักผ่อนน้อย
ความร้อนที่วิ่งขึ้นศีรษะ
ส่งผลให้เซลล์หนังศีรษะอายุสั้น

เมื่อเซลล์ตายเร็วจึงทำให้ผิวอ่อนแอ
เกิดอาการระคายเคือง...คัน
และผิวหนังอักเสบเรื้อรัง

การที่เรายิ่งสระผม ก็จะส่งผลให้หนังศีรษะยิ่งแห้ง
เราอาจจะคิดว่าความมัน ความสกปรก ทำให้เราคัน
แต่จริงๆ ไม่ใช่ เพราะผิวหนังเราแห้งกร้าน อักเสบ ระคายเคือง
ดังนั้นยิ่งสระเท่าไหร่ก็ยิ่งผิวขาดน้ำมากขึ้นเท่านั้น

ลำดับความอ่อนแอของหนังศีรษะคือ
1.ร้อนแดง (เริ่มอักเสบ)
2.ลอกร่อน (เริ่มตายเร็ว)
3.คัน (เริ่มระคายเคือง)

วิธีแก้ดังนี้
1. หากมีอาการศีรษะร้อน
แนะนำให้หมักด้วยใบบัวบกปั่นทั้งต้นและหมักไว้
จะช่วยลดความร้อนได้เป็นอย่างดี

2. หากมีอาการหนังศีรษะลอกร่อน
แนะนำให้เพิ่มเหงือกปลาหมอไปด้วย
เหงือกปลาหมอจะเป็นเมือกๆ ช่วยสมานผิวได้ดี

3. หากมีอาการคันร่วมด้วย
แนะนำให้เพิ่มขมิ้นผง หมักร่วมด้วย
ในสมัยก่อน เวลาบวชพระ ก็จะใช้ขมิ้น
เป็นตัวทาหนังศีรษะเพื่อช่วยลดอาการระคายเคือง
ที่เกิดจากใบมีดโกน

***หากมีอาการคันมากๆๆๆ***
ต้องใช้เทคนิคผสมผสาน
คือใช้แชมพูขจัดรังแคสูตรเย็น สระก่อน
ความเย็นจะช่วยหยุดอาการระคายเคืองลง
อาการคันจะลดลง
จากนั้นก็หมักด้วยสมุนไพรตามทันที

เมื่อหมักผมผิวจะสมานและไม่บางระคายเคืองเหมือนแต่ก่อน
ผิวก็จะไม่หลุดร่อนเร็ว และอายุผิวก็จะยาวขึ้น

สมุนไพร เหมือนปุ๋ยอินทรีย์
ยาสระผม เหมือนปุ๋ยเคมี

ปุ๋ยอินทรีย์ เห็นผลช้า แต่ยั่งยืน
ปุ๋ยเคมี เห็นผลเร็ว แต่ไม่หายขาด

"ยอดไม้ร่วงโรย เพราะรากขาดน้ำ"

แบ่งปันเคล็ดลับนี้ ให้แก่กันและกันนะครับ

เพื่อไม่พลาดเคล็ดลับ ทุกๆ การโพส
จากศาสตร์โบราณ เพื่อคนยุคใหม่

หลังจาก กดถูกใจ >> แล้วคลิ๊กที่ "รับการแจ้งเตือน"
อยู่เหนือ "แสดงในฟีดข่าว" ตรงปุ่มถูกใจ

หรือ
คลิ๊ก Like >> แล้ว คลิ๊ก Get Notifications เหนือ "Show in News Feed"

"ความรู้โบราณ อายุนับพันปี
ถ่ายทอดผ่านร้อยชั่วคน
แต่บางคน...ชั่วชีวิต กลับมิเคยได้รู้..."

เคล็ดลับจากศาสตร์โบราณ เพื่อคนยุคใหม่
โดย Admin : ผีเสื้อหน้าหยก
Facebook คันฉ่องสุขภาพ

Credit photo by: http://health.howstuffworks.com/skin-care/scalp-care/problems/itchy-scalp.htm

ศีรษะร้อน... ผมหงอกก่อนวัย... ภูมิปัญญาโบราณ จะใช้หมอนลดความร้อนศีรษะ



คนไทย ใช้หมอนเปลือกถั่วเขียว
คนญี่ปุ่น ใช้หมอนเปลือกโซบะ
คนจีน ใช้หมอนหยก...

การที่เราทำงานหนัก
คิดมาก อดหลับอดนอน
จะทำให้สมองร้อน ศีรษะร้อน
ทำให้เส้นผมอ่อนแอ หงอกเร็ว ร่วงเร็วก่อนกำหนด

เช็คด้วยการเอามือของตัวเอง
จับที่หลังคอ หากพบว่า
ยิ่งหลังคอร้อนมากกว่ามือของเราเอง
แสดงว่าศีรษะเราร้อนมากด้วย

แนะนำให้หยุดการคลายความร้อนที่ศีรษะ
ด้วยการดักความร้อนที่วิ่งขึ้นผ่านคอ
โดยการใช้ผ้าชุบน้ำเย็น
มาวางไว้ที่หลังคอ เพื่อระบายความร้อนออกไปก่อน
จนรู้สึกว่าอาการหนักสายตาคลายหมดไป
ค่อยเอาผ้าออกนะครับ

ทำได้ทุกๆ วัน
หากเราพักผ่อนน้อย และทำงานหนักเกิน

หัวเย็น...มือเท้าอุ่น
ชีวิตยั่งยืน...

เพื่อไม่พลาดเคล็ดลับ ทุกๆ การโพส
จากศาสตร์โบราณ เพื่อคนยุคใหม่

หลังจาก กดถูกใจ >> แล้วคลิ๊กที่ "รับการแจ้งเตือน"
อยู่เหนือ "แสดงในฟีดข่าว" ตรงปุ่มถูกใจ

หรือ
คลิ๊ก Like >> แล้ว คลิ๊ก Get Notifications เหนือ "Show in News Feed"

แบ่งปันเคล็ดลับสกัดความร้อนนี้ ให้แก่กันและกันนะครับ

"ความรู้โบราณ อายุนับพันปี
ถ่ายทอดผ่านร้อยชั่วคน
แต่บางคน...ชั่วชีวิต กลับมิเคยได้รู้..."

เคล็ดลับจากศาสตร์โบราณ เพื่อคนยุคใหม่
โดย Admin : ผีเสื้อหน้าหยก
Facebook คันฉ่องสุขภาพ

Credit photo by: http://answers.yahoo.com/question/index?qid=20130624235123AAVyNUB

ออกเจ เพื่อความงาม ลดน้ำหนักในรอบปี...



เมื่อเรากินเจมาสิบวัน
สารพิษในร่างกายของเราที่ปนเปื้อนมากับเนื้อสัตว์จะลดลงอีกด้วย
ทั้งตับและไตก็ได้พักจากการต้องกำจัดสารพิษ

หากครบสิบวันแล้ว
มีใครอยากจะลองกับตัวเองบ้าง
เพื่อความผอมเพรียวและผิวใสเพิ่มขึ้น

1. ตอนเช้า ตื่นมากินผักผลไม้สดๆก่อน ทานข้าวเช้า
2. ตอนเที่ยง ทานตามปรกติ เลี่ยงอาหารมันๆ
3. ตอนเย็น ให้กินแต่แกงจืดใส่ไข่ ไม่ทานข้าว

ทำตามนี้เพียง 3 วัน จะได้กำไรสุขภาพอย่างมาก
น้ำหนักก็จะลดลงเร็ว และผิวก็จะใสขึ้นด้วย
เพราะเมื่อน้ำหนักลดลง ตับและไตก็สามารถกำจัดของเสียได้ดียิ่งขึ้น
ผิวจะยิ่งใสขึ้นตามน้ำหนักตัวที่ลดลง

หากใครใจแข็ง ทำได้ 7 วัน จะเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนมาก
และคุ้มค่าที่สุดสำหรับ การกินเจ ในปีนี้

เพราะการที่เราทานเจมาแล้วสิบวัน
จะทำให้กระเพาะของเราไม่หิวง่าย
ไม่หลั่งน้ำย่อยออกมาเยอะ (เพราะไม่ได้กินเนื้อสัตว์มาก)
จึงทำให้ร่างกายยังไม่ต้องกินอาหารมากๆ ก็อยู่ได้
ร่างกายก็จะได้มีกำลังมากำจัดสิ่งตกค้างภายในแทน
สังเกตดูว่าผิวจะใสขึ้น

ตอนเช้าเมื่อเราได้ทานผักผลไม้
ซึ่งเป็นเวลาของกระเพาะอาหาร
ร่างกายจะรู้สึกสดชื่น และกากใยเหล่านั้นจะไปครูดคราบตะกรัน
ไขมันต่างๆ ออกก่อน
ส่วนตอนเย็น การที่เราทานแกงจืดไข่ เราก็จะไม่หิวมาก
ไม่ทรมาน มีไข่หนึ่งลูก ก็สามารถอยู่ได้แล้ว ทำให้น้ำหนักจะลดลงอีกด้วย

การลดน้ำหนักที่ต่อเนื่องมาจากการกินเจนี้
จะแนะนำให้กระตุ้นจุดมิ่งเหมินช่วย
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการโยโย่

จุดมิ่งเหมิน จะทำให้อัตราการเผาผลาญสูงขึ้น ให้ทำทุกๆ เช้าและก่อนนอน
ทำได้สำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนัก ทั้งที่กินเจมาและไม่กินเจมา
เพื่อป้องกันการเกิดโยโย่ครับ

ตามลิงก์นี้ไปเลยนะครับ วิธีการกระตุ้นจุดมิ่งเหมิน
สำหรับคนที่อ้วนง่าย การเผาผลาญต่ำ ลองวิธีนี้ดู
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=155833024579039&set=a.153415624820779.1073741828.152788904883451&type=1&theater

แบ่งปันเคล็ดลับลดน้ำหนักหลังออกเจ ให้แก่กันและกันนะครับ

"ความรู้โบราณ อายุนับพันปี
ถ่ายทอดผ่านร้อยชั่วคน
แต่บางคน...ชั่วชีวิต กลับมิเคยได้รู้..."

เคล็ดลับจากศาสตร์โบราณ เพื่อคนยุคใหม่
โดย Admin : ผีเสื้อหน้าหยก
Facebook คันฉ่องสุขภาพ

Credit photo by: http://www.coloribus.com/adsarchive/prints/vegetarian-food-festival-tiger-5508655/

เตรียมรับมือกับอาหารเจ



อาหารเจมันมากๆๆ
ต้องเตรียมพร้อมร่างกายไว้สำหรับย่อยน้ำมัน

หากเราไม่ทานเนื้อสัตว์ ไตเราก็จะได้พักมากขึ้นจากการต้องขับของเสียออกไป
แต่ตับและถุงน้ำดีอาจจะทำงานเพิ่มขึ้นเพราะความมันจากอาหารที่มากเกิน

ผลข้างเคียงจากการทานน้ำมันมากเกินไปก็คือ
กรดไหลย้อน
ปวดไมเกรน
ปวดสลักเพชร
ท้องอืดเรอ จุกลิ้นปี่

วิธีการเตรียมความพร้อมสำหรับอาหารเจคือ
ตอนเช้า ข้าวโอ๊ต หนึ่งถ้วย ข้าวโอ๊ตมีคุณสมบัติเป็นวุ้น พร้อมรับกับการดูดซับไขมันได้ดี
ตอนเย็นเมื่อกลับบ้าน ทานผลไม้ดูดซับไขมันอย่างเช่น แอปเปิ้ล มะเขือต่างๆ

หากเกิดร้อนใน ให้ดื่มน้ำย่านาง หรือยาขม เพื่อลดความร้อนจากน้ำมัน
หากเกิดอาการท้องอืด ต้องทานอาหารที่ช่วยย่อยลดความมัน เช่น สับประรด มะละกอ
ดื่มแต่น้ำอุ่น ไม่ควรดื่มน้ำเย็น จะช่วยทำให้ร่างกายย่อยได้ดีขึ้น กระเพาะเย็นยิ่งย่อยยาก

เราเลือกอาหารเจไม่ได้
แต่เลือกทานอาหารอื่นร่วมได้ เพื่อสมดุล

แบ่งปันเคล็ดลับลดความมันช่วงเทศกาลเจให้แก่กันและกันนะครับ

"ความรู้โบราณ อายุนับพันปี
ถ่ายทอดผ่านร้อยชั่วคน
แต่บางคน...ชั่วชีวิต กลับมิเคยได้รู้..."

เคล็ดลับจากศาสตร์โบราณ เพื่อคนยุคใหม่
โดย Admin : ผีเสื้อหน้าหยก
Facebook คันฉ่องสุขภาพ

Credit photo by: www.khanpak.com


เพื่อไม่พลาดเคล็ดลับ ทุกๆ การโพส
จากศาสตร์โบราณ เพื่อคนยุคใหม่

หลังจาก กดถูกใจ >> แล้วคลิ๊กที่ "รับการแจ้งเตือน"
อยู่เหนือ "แสดงในฟีดข่าว" ตรงปุ่มถูกใจ

หรือ
คลิ๊ก Like >> แล้ว คลิ๊ก Get Notifications เหนือ "Show in News Feed"

แบ่งปันเคล็ดลับของหัวใจให้แก่กันและกันนะครับ

มาบริหาร "หัวใจ" กัน




ก่อนที่ปอดจะรู้จักกับลมหายใจ...
ก่อนที่กระเพาะจะรู้จักกับการย่อยอาหาร...
หัวใจก็ได้เริ่มบรรเลงจังหวะแห่งชีพจร
มาตั้งแต่เรามีขนาดตัวได้เพียงไม่กี่เซนติเมตรในท้องแม่

การบริหารอวัยวะที่มิเคยหลับใหลอย่าง "หัวใจ" เช่นนี้
จึงแตกต่างจากอวัยวะทั่วไป
เพราะต้องเรียนรู้ที่จะพักให้มากเป็นสำคัญ

สิ่งมีชีวิตสัตว์สี่เท้าทั้งหลาย
มีหัวใจอยู่ที่ระดับ เดียวกันกับสมอง
สัตว์พวกนี้จะนอนทั้งวัน

แต่คนมีสมองที่สูงกว่าหัวใจ
เมื่อหัวใจเริ่มเสื่อม (อายุประมาณ หกสิบไปแล้ว)
ก็จะเริ่มนอนกลางวันมากขึ้น

การถนอมหัวใจตั้งแต่วันนี้ก็คือ
ฟุบในเวลากลางวันบ้าง ในเวลาหัวใจ คือ 11 โมง ถึง บ่ายโมง หรือหลังอาหารกลางวัน
งดการออกกำลังมากเกินในเวลา หนึ่งทุ่มถึงสามทุ่ม เพราะเป็นเวลาที่การบีบตัวของหัวใจควรได้พักตามหลักแผนจีน

อาหารที่บำรุงหัวใจได้แก่
1. น้ำมันปลาที่มี โอเมก้า 3 น้ำมันปลาจะบำรุงหลอดเลือด หลอดเลือดก็คือ แขนงแตกออกมาจากหัวใจ หากหลอดเลือดแข็งแรง หัวใจก็แข็งแรง
หากใครไม่กินน้ำมันปลา ก็แนะนำ น้ำมัน Flax Seed หรือ น้ำมันงาม่อนนะครับ
2. อาหารบำรุงเลือดทุกชนิด เลือด หลอดเลือด และหัวใจ เป็นเหมือนแม่ลูกกัน อยู่ด้วยกัน เลือดสะอาด หัวใจก็สะอาด หลอดเลือดแข็งแรง หัวใจก็แข็งแรง เทคนิคบำรุงเลือด ตามลิงค์นี้นะครับ
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=161189584043383&set=a.153415624820779.1073741828.152788904883451&type=1&theater

โอเมก้า 3 นี้ทำให้เส้นเลือดอ่อนนุ่ม ทำให้หัวใจแข็งแรง ไม่เพียงเท่านั้นควรงดอาหารมันๆ ที่เป็นไขมันเลว เพื่อทำให้หลอดเลือดสะอาดขึ้นสักหกสัปดาห์

เรื่องราวน่ารู้เกี่ยวกับหัวใจจากคันฉ่องสุขภาพนะครับ
1. เส้นลมปราณหัวใจ ผ่านนิ้วนาง นิ้วนางจึงใช้เป็นสัญลักษณ์สื่อของหัวใจได้ดีที่สุด
2. หากไขมันอุดตันสะสมที่หัวใจ และหลอดเลือดมาก มือจะชา
3. ทวารของหัวใจอยู่ที่ลิ้น หากแลบลิ้นออกมาแล้วเห็นรอยร่องฟัน แสดงว่า ลิ้นบวม ควรพักผ่อนให้เพียงพอ
4. จากข้อมือด้านใน ห่างออกมาสามนิ้ว(ให้เรียงนิ้วชี้กลางนางของเจ้าตัว) จะพบจุดเน่ยกวาน จุดนี้อยู่บนเส้นลมปราณเยื่อหุ้มหัวใจ จุดนี้ใช้ช่วยลดความดันสูงได้ดี กดแล้วปล่อย ตามลมหายใจเข้าออก เป็นรอบๆ ตอนหนึ่งทุ่มถึงสามทุ่ม จนนิ้วกลางงอเข้า กดจนรู้สึกง่วงแล้วพักในความสงบ จะช่วยบำรุงหัวใจ และลดความดัน
5. คนที่หัวใจแข็งแรง ดูได้จากสีหน้า สีหน้าจะแดงอมชมพู คนหน้าซีดเซียว ขาวเผือด ไม่มีสีเลือดต้องบำรุงหัวใจ
6. หัวใจและไตทำงานร่วมกัน หัวใจร้อน ทำงานหนัก จะกระทบถึงไต ทำให้ร่างกายเสื่อมเร็ว ผมหงอก ผิวแห้งกรอบ ไม่ชุ่มชื่นอิ่มเอิบ ต้องเพิ่มหยินในไต และลดความร้อนจากหัวใจลง ให้พักผ่อนให้มากขึ้น กินยาบำรุงหยินไต ก็จะฟื้นสภาพได้
7. ศูนย์กลางของความรู้สึกอยู่ที่หัวใจ เหตุการณ์ฝังใจทั้งหลาย จะทำปฏิกิริยากับการเต้นหัวใจ ดังนั้นเครียดมาก ตื่นเต้นมาก ก็ส่งผลถึงหัวใจ หัวใจวายได้
8. รสขม บำรุงหัวใจ ดีบัวก็บำรุงหัวใจ หากใครนอนไม่หลับให้ลองทานของขมก่อนนอน จะหยุดความฟุ้งซ่านได้ หยุดความเครียดได้ ทำให้หัวใจผ่อนคลาย

เพื่อไม่พลาดเคล็ดลับ ทุกๆ การโพส
จากศาสตร์โบราณ เพื่อคนยุคใหม่

หลังจาก กดถูกใจ >> แล้วคลิ๊กที่ "รับการแจ้งเตือน"
อยู่เหนือ "แสดงในฟีดข่าว" ตรงปุ่มถูกใจ

หรือ
คลิ๊ก Like >> แล้ว คลิ๊ก Get Notifications เหนือ "Show in News Feed"

แบ่งปันเคล็ดลับของหัวใจให้แก่กันและกันนะครับ

"ความรู้โบราณ อายุนับพันปี
ถ่ายทอดผ่านร้อยชั่วคน
แต่บางคน...ชั่วชีวิต กลับมิเคยได้รู้..."

เคล็ดลับจากศาสตร์โบราณ เพื่อคนยุคใหม่
โดย Admin : ผีเสื้อหน้าหยก
Facebook คันฉ่องสุขภาพ

Credit photo by:
http://www.dancingpriestess.com/shedding-your-old-skin/shedding-your-old-skin-week-2/

อยากมีผิวสวยเปล่งปลั่ง... ต้องบำรุงปอด...




"หากเราขาดอาหาร เรายังอยู่ได้เป็นเดือน
หากเราขาดน้ำ เรายังอยู่ได้เป็นวัน
หากเราขาดอากาศ เราอยู่ได้เพียงไม่กี่นาที"

ดังนั้นจึงคงต้องเริ่มต้นด้วยการกล่าวถึง "ปอด"เป็นอันดับแรก

อวัยวะที่สัมพันธ์กันของธาตุทองก็คือ
"ปอด ลำไส้ใหญ่ ผิวหนัง เส้นขน"

ปอดเป็นอวัยวะที่เป็นขุมพลังแห่งลมปราณ
ควบคุมลมแห่งชีวิตแจกจ่ายไปให้กับอวัยวะอื่น
ความสมบูรณ์ของปอดจึงดูได้จากผิวและขนภายนอก

"เริ่มจากปอด แผ่ออกที่ผิว"
ดังนั้นดูแลปอดให้แข็งแรง ผิวพรรณก็จะผ่องใส

เทคนิคยืดเส้นบริหารปอดตอนเช้า
1. ยืนท่าตรง หายใจเข้าแล้ววาดมือออกข้างลำตัวไปประกบกันที่เหนือศีรษะ ตามองที่ปลายนิ้วโป้ง (เส้นลมปราณปอดอยู่ที่นิ้วโป้ง)
2. หยุดสักพัก นับ หนึ่งถึงสาม
3. วาดมือลงพร้อมหายใจออกอย่างผ่อนคลาย
ทำวันละสิบครั้ง ตอนเช้า ตื่นขึ้นมา

หากได้ผล จะเริ่มมีอาการขนลุก หาว น้ำตาไหลบ้าง
ถือว่าเราได้ส่งลมปราณของปอดไปถึงทั้งร่างกายแล้ว
เหมือนกับคนเพิ่งตื่นนอน รู้สึกเต็มอิ่ม
ฝึกบ่อยๆ ทุกวัน ผิวพรรณจะเปล่งปลั่งตามลักษณะของธาตุทองที่เปล่งประกาย

ปอดนี้เป็นอวัยวะ คู่ธาตุทองกับ ลำไส้ใหญ่
หากท้องผูก จะทำให้อึดอัดหายใจไม่ออกแน่น
ส่งผลต่อปอดไม่ดี ลมหายใจก็มีกลิ่นเหม็น
และผิวเป็นสิว ผิวไม่ดี เพราะของเสียขับถ่ายออกทางผิวแทน

ดังนั้นการดูแลปอดให้แข็งแรง ต้องบำรุงลำไส้ใหญ่ไปด้วย จะช่วยทำให้ผิวพรรณดียิ่งขึ้น

การดูแลลำไส้ใหญ่ดูได้จาก Link นี้
https://www.facebook.com/media/set/?set=a.166530350175973.1073741829.152788904883451&type=1

"ลมหยาบ ผิวหยาบ
ลมละเอียด ผิวละเอียด"

เพิ่มเติมนะครับ
เนื่องจาก Facebook ได้จำกัดจำนวนการเห็นของโพส
จากจำนวน Fan Page ทั้งหมด

เพื่อไม่พลาดเคล็ดลับ ทุกๆ การโพส
จากศาสตร์โบราณ เพื่อคนยุคใหม่

หลังจาก กดถูกใจ >> แล้วคลิ๊กที่ "รับการแจ้งเตือน"
อยู่เหนือ "แสดงในฟีดข่าว" ตรงปุ่มถูกใจ

หรือ
คลิ๊ก Like >> แล้ว คลิ๊ก Get Notifications เหนือ "Show in News Feed"

แบ่งปันเคล็ดลับความเปล่งประกายให้แก่กันและกันนะครับ

"ความรู้โบราณ อายุนับพันปี
ถ่ายทอดผ่านร้อยชั่วคน
แต่บางคน...ชั่วชีวิต กลับมิเคยได้รู้..."

เคล็ดลับจากศาสตร์โบราณ เพื่อคนยุคใหม่
โดย Admin : ผีเสื้อหน้าหยก
Facebook คันฉ่องสุขภาพ

Credit photo by: http://teahousespa.com/breathingtechniques/

จิตวิญญาณของเราจริงๆ อยู่ที่ส่วนไหนของร่างกาย?





มีคำถามว่า จิตวิญญาณของเราจริงๆ 
อยู่ที่ส่วนไหนของร่างกาย?
บ้างก็ว่า อยู่ที่สมอง...
บ้างก็ว่า อยู่ที่หัวใจ...
แต่ในทางแผนจีนโบราณแล้ว เชื่อว่า
จิตวิญญาณแบ่งส่วนกันอยู่ในอวัยวะของเรานั่นเอง

ไตของเราจะเก็บกลยุทธ์ ทำให้เป็นคนมีไหวพริบ
ไตแข็งแรง หูจะใหญ่ เพราะหูเป็นทวารของไต
คนหูกางจึงกล่าวกันว่าเป็นคนเฉลียวฉลาด ทันคน

ตับเก็บความกล้าหาญ หึกเหิม ไม่หวาดหวั่น
ตับแข็งแรง คิ้วโหนกนูน ดกเข้ม

ปอดแข็งแรงทำให้เก่งการจัดการ
ตื่นแต่เช้าตีสี่ มาเพื่อรับชี่ยามเช้า
ทวารของปอดคือจมูก คนปลายจมูกยาวลงมา
วางแผนการณ์ไกล

กระเพาะอาหารเก็บความสามารถในการตัดสินใจ
ไม่กินข้าวเช้า จะกลายเป็นคนโลเลง่าย
ไม่มั่นใจเวลาตัดสินใจเฉพาะหน้า
กลายเป็นคนช้าได้

หัวใจแข็งแรง หน้าแดงระเรื่อ
เก็บความเบิกบาน พลังของใจหล่อเลี้ยงทั่วเรือนกาย

หากอวัยวะไหนเสื่อม
จิตวิญญาณของเราก็สูญเสียความสามารถนั้นไปเรื่อยๆ
น่าเสียดายอวัยวะเหล่านั้น
ไม่ได้เหมือนกล้ามเนื้อที่ให้เราเข้ายิมออกกำลังได้

ต่อไปจะพูดถึงวิธีบริหารอวัยวะแต่ละส่วนนะครับ
เพื่อจะช่วยบริหารวิญญาณภายในของเราให้แข็งแรง

เคล็ดวิชาก็คือ
"ไม้ใหญ่ แผ่ก้านใบ ปิดฟ้า
เพียงเพราะกำลังจากน้ำเลี้ยงภายในค้ำจุน"

แบ่งปันเคล็ดลับให้แก่กันนะครับ

หมายเหตุ
เนื่องจาก Facebook ได้จำกัดจำนวนการเห็นของโพส
จากจำนวน Fan Page ทั้งหมด

เพื่อไม่พลาดเคล็ดลับ ทุกๆ การโพส
จากศาสตร์โบราณ เพื่อคนยุคใหม่

หลังจาก กดถูกใจ >> แล้วคลิ๊กที่ "รับการแจ้งเตือน"
อยู่เหนือ "แสดงในฟีดข่าว" ตรงปุ่มถูกใจ

หรือ
คลิ๊ก Like >> แล้ว คลิ๊ก Get Notifications เหนือ "Show in News Feed"

"ความรู้โบราณ อายุนับพันปี
ถ่ายทอดผ่านร้อยชั่วคน
แต่บางคน...ชั่วชีวิต กลับมิเคยได้รู้..."

เคล็ดลับจากศาสตร์โบราณ เพื่อคนยุคใหม่
โดย Admin : ผีเสื้อหน้าหยก
Facebook คันฉ่องสุขภาพ

Credit photo by: http://yang-sheng.com/?p=2725

"ข้อพับดำ" สาเหตุอาการหมองคล้ำทั่วเรือนกาย แม้ผิวไม่ขาวดุจหยกน้ำนม.... แต่ก็ไม่อยากหมองคล้ำดังเช่นศิลา....



การจะดูว่า ผิวของเราหมองคล้ำหรือไม่
ต้องดูในจุดที่อ่อนที่สุดถึงจะเห็นได้ชัด 
นั่นก็คือ ตามข้อพับของเรานั่นเอง

เคยเห็นคนข้อพับดำไหมครับ
นั่นไม่ใช่ขี้ไคลที่จะขัดออกได้
แต่เป็นปฏิกริยาชนิดหนึ่งของโปรตีนกับน้ำตาล

ปฏิกริยา กลัยเคชั่น" ทำให้ผิวพรรณดูกร้านไม่บางใส
เพราะน้ำตาลทำปฏิกริยากับโปรตีน(เนื้อเยื่อ คอลลาเจน)

อาหารที่เร่งให้เราแก่เร็ว นั่นก็คือ
น้ำตาลในกระแสเลือดที่มากเกินไป

น้ำตาลเหล่านี้จะทำปฏิกิริยากับโปรตีน คอลลาเจน ตามผิว
เกิดความกระด้าง (เกิดโครงสร้างสารผิดปรกติขึ้น ชื่อ AGES)
คนเป็นเบาหวาน จึงแก่ไวกว่าอายุที่ควรจะเป็น
คนอ้วนๆ มักมีรอยดำตามข้อพับต่างๆ

นอกจากการกิน อาหารหวานๆ แล้ว
ยังมีอาหารที่ทำให้ผิวคล้ำโดยตรง นั่นก็คือ
อาหารที่ปิ้งย่าง โดยการทาน้ำตาลแล้วย่างทำให้เกิดกลิ่นหอมไหม้
เพราะมี สาร AGES นี้อยู่
ปฏิกริยาระหว่างน้ำตาลและโปรตีน จะทำให้ผิวหยาบกร้าน

เมื่อ AGES สะสมในร่างกายมากขึ้น
ผิวตรงเนื้ออ่อนของเราก็จะดำคล้ำ
เหมือนคนที่มีอาการข้อพับและตามต้นคอดำ

ไม่เพียงเท่านั้น ยังทำให้โปรตีนทั้งหลายในเซลล์เนื้อเยื่อ
นั้นเกิดความผิดปรกติอีกด้วย
เช่นผนังหลอดเลือดแข็งขึ้น เกิดความดันโลหิตสูง
การลดอาหารหวานๆจึง ช่วยลดปัจจัยการเกิด
โรคหัวใจ มะเร็ง ต้อกระจก และข้ออักเสบ


ใครๆ ที่อยากให้ผิวหน้งมีความยืดหยุ่น บอบบาง เหมือนผิวเด็ก
ไม่แก่เร็วก่อนวัยอันควร
ควรระวังอาหารปิ้งย่างหอมๆ
และน้ำตาลที่มากเกินไป

แบ่งปันเคล็ดลับให้แก่กันนะครับ

"ความรู้โบราณ อายุนับพันปี
ถ่ายทอดผ่านร้อยชั่วคน
แต่บางคน...ชั่วชีวิต กลับมิเคยได้รู้..."

เคล็ดลับจากศาสตร์โบราณ เพื่อคนยุคใหม่
โดย Admin : ผีเสื้อหน้าหยก
Facebook คันฉ่องสุขภาพ

ดำไม่ได้ตั้งใจ... ไม่ตากแดด ดำได้อย่างไร "หน้าดำ เพราะคร่ำเครียด" เกิดได้จริงๆ หรือ?



เชื่อไหมครับ ไม่ว่าเราจะใช้ครีมกันแดดดีแค่ไหน
SPF สูงไม่ว่าเท่าไหร่ จะ PA กี่ + ก็ตาม
ผิวของเราก็สามารถดำคล้ำเหมือนไปตากแดด ได้อยู่ดี

เพราะเนื่องจาก เมื่อเราเครียด
ร่างกายจะสร้างฮอร์โมนตัวหนึ่งซึ่งมีชื่อย่อว่า ACTH ขึ้นมา
ซึ่งจะไปกระตุ้นให้สร้าง "เมลาโนไซต์" ที่ผิวหนัง
ทำให้ผิวเราคล้ำขึ้นไม่ต่างจากไปตากแดดมาเลย

ความเครียดที่จะสร้างให้ผิวดำนี้ ไม่ใช่ความเครียดธรรมดา
แต่มักเป็นความเครียดที่มีความกังวลร่วมด้วย
เป็นความเครียดอย่างต่อเนื่อง จึงผลิตฮอร์โมนอย่างต่อเนื่อง

ซึ่งความกังวลนี้หากได้อ่านในโพสก่อนๆ มาจะทราบว่า
ผู้หญิงมีแนวโน้มที่มีความกังวลมากกว่าผู้ชาย
(เหมือนไฟไหม้แกลบครับ มันจะครุกรุ่นอยู่อย่างนั้น 7 วัน 7 คืน ไม่มอดดับ)
ดังนั้นผู้หญิงต้องระวังเรื่องนี้ให้มาก

วิธีการที่จะแนะนำให้ต้านความดำจากความเครียด ง่ายๆ ก็คือ

อาบน้ำเย็นครับ
อาบน้ำเย็นทันทีที่รู้ว่าเราตกอยู่ในห้วงอารมณ์
น้ำเย็น จะช่วยช๊อคให้ร่างกายหลุดออกจากห้วงแห่งความกังวลออกมาได้
เมื่อเราอาบน้ำเย็น หลังจากนั้นร่างกายจะอุ่นขึ้นและผ่อนคลาย

ไม่เพียงแค่นั้น เรายังใช้เทคนิคนี้
สามารถควบคุมความเครียดของเซลล์ผิวหน้า
ด้วยการใช้น้ำเย็นจัดๆ ล้างหน้าตอนเช้า
เราจะรู้สึกดี ขึ้นทันที...
เพราะความเครียดของผิวหน้าลดลง
ฮอร์โมนที่ทำให้ผิวดำก็ลดลงด้วย


พูดถึงเรื่องผิวขาว ผิวดำ
ก็อดคิดถึงคนสองคนไม่ได้ คือ

ท่านเปาบุ้นจิ้น ซึ่งมีใบหน้าที่คร่ำเคร่ง
กับเซียวเล่งนึ่ง ซึ่งมีใบหน้าที่ดูสงบเยือกเย็น
"บริสุทธิ์ดังหิมะ และเย็นชาราวน้ำแข็ง"

ลองเอาเทคนิคนี้ไปใช้ดูนะครับ
เผื่อจะมีผิวหิมะ เหมือนเซียวเล่งนึ่งกัน

ความคล้ำบนใบหน้า อาจไม่เกิดเพราะแดด...
รอยดำบนผิวอ่อน ก็ไม่ได้เกิดจากขี้ไคลเช่นกัน...

ครั้งต่อไปจะพูดถึง.... "รอยดำ"
ตามผิวอ่อน ข้อพับต่างๆ
สิ่งเหล่านี้เกิดจากภายในครับ
ขัดล้างไม่ออก!!!
และยังทำให้ผิวขาวไม่จริงอีกด้วย

แบ่งปันเคล็ดลับ"ผิวหิมะ"นี้ให้แก่กันนะครับ

"ความรู้โบราณ อายุนับพันปี
ถ่ายทอดผ่านร้อยชั่วคน
แต่บางคน...ชั่วชีวิต กลับมิเคยได้รู้..."

เคล็ดลับจากศาสตร์โบราณ เพื่อคนยุคใหม่
โดย Admin : ผีเสื้อหน้าหยก
Facebook คันฉ่องสุขภาพ

Credit photo by :
http://writer.dek-d.com/frank888/story/viewlongc.php?id=571350&chapter=6

ล่า...หารักแท้... ต้องโจมตีให้ถูกจุดอ่อน...



"กำแพงใหญ่ย่อมมีช่อง 
หยกเนื้อดียังมีรอย"

ผู้หญิงและผู้ชายมีจุดอ่อนที่ต่างกัน
โดย"ผู้หญิงจะมีจุดอ่อนอยู่ที่หู
ส่วนผู้ชายจะมีจุดอ่อนอยู่ที่ตา"

ผู้หญิงชอบฟังสิ่งที่คุณพูด
สิ่งที่คุณสัญญา สิ่งที่คุณสาบานเพื่อเธอ
ไม่ว่าหน้าตาคุณจะมาจากขุมไหน...ก็ตาม
เธอพร้อมที่จะหลับตาฟังคุณทุกเมื่อ

และเมื่อใดก็ตามที่เธอฟังคุณด้วยสายตาอย่างมีความสุขแล้วละก็
แสดงว่าคุณก็ได้เข้าถึงดวงใจของเธอเรียบร้อยแล้ว

ส่วนผู้ชายชอบจากการมองเห็น
จงรักษาระยะห่างเข้าไว้ ดุจดาวบนฟากฟ้า

ให้เขาเพียงแค่ได้สัมผัสด้วยตาเท่านั้น
นั่นจะเป็นวิธีที่คุณทรมานเขา ให้ความต้องการเผาไหม้หัวใจของเขา
จนอ่อนกำลัง จึงค่อยจู่โจม
จำเอาไว้ "รู้เขา เสร็จเรา ชนะไม่ต้องรบ"

ผมเปิดเพจใหม่ ชื่อ "หนังสือ หลังห้อง" นะครับ
หนังสือที่เด็กเรียนหน้าห้องทั้งหลาย...อาจไม่เคยได้อ่าน....

www.facebook.com/bookfromtheback

Credit photo by: xdesktopwallpapers.com

ฟังเหมือนกัน... ได้ยินไม่เท่ากัน... เรื่องราวความต่าง...ของหญิงและชาย



ครั้งที่แล้วได้พูดถึงเรื่องการมองเห็นของผู้หญิง 
ซึ่งมักมีมิติที่กว้างกว่าผู้ชายแล้ว
คราวนี้จะพูดถึงเรื่องการฟังบ้าง

มีการทดลองหนึ่งพบว่า
หากให้คนฟัง เสียงคำพูด สองคำซึ่งไม่เหมือนกัน พร้อมๆ กัน
โดยหูขวาได้ยินคำพูดหนึ่ง หูซ้ายได้ยินอีกคำหนึ่ง
พบว่า ผู้หญิงสามารถฟังได้ยิน ทั้งสองคำที่แตกต่างนั้น
ในขณะที่ผู้ชาย ได้ยินเพียงคำใดคำหนึ่งเท่านั้น

ไม่ใช่ผู้หญิงใช้สองหู และผู้ชายฟังหูเดียว
แต่เป็นเพราะผู้หญิงจะใส่ใจในมุมกว้างกว่า...
ส่วนผู้ชายจะจดจ่อ จับจ้องอยู่กับสิ่งที่เข้ามาด้านใดด้านหนึ่ง

ผู้หญิงจึงมีความสามารถใช้หูข้างหนึ่งฟังคุณอยู่
และใช้หูอีกข้างสืบฟังเรื่่องของคนข้างๆ
เพียงแค่เธอสนใจที่อยากจะรู้เท่านั้น
ง่ายดายเสียยิ่งกว่า ใช้มือซ้ายและมือขวาเสียอีก...

ดังนั้นไม่เพียงแต่ผู้หญิงมีความสามารถใน"การมอง"ได้มุมกว้างแล้ว
แต่ยังสามารถ"ได้ยิน"ในมุมที่กว้างกว่าด้วยซ้ำ

ทั้งหูและตา นั้นเป็นต้นกำเนิดของข้อมูล ภาพและเสียงในสมองของเรา
ทำให้ความคิดของผู้หญิง ค่อนข้างเป็นภาพรวมมุมกว้างมากกว่าผู้ชาย
ซึ่งเป็นคุณสมบัติของเพศแม่ คุณสมบัติของความดูแล คิดคำนึง นึกถึง และใส่ใจ
ด้วยเหตุนี้เอง จึงเป็นสาเหตุให้ความคิดและอารมณ์ของผู้หญิง
ค่อนข้างเป็นวงกว้าง ใคร่ครวญ ครุกรุ่น
เหมือนไฟไหม้แกลบ ไม่จบไปได้โดยง่าย

แม้ไม่ก้าวร้าว... แต่กลับกังวล...

เราพูดถึงกันแล้วว่า ผู้ชายมีคุณสมบัติการมองและการได้ยิน
แหลมคมกว่า ซึ่งเป็นคุณสมบัติของนักล่าจากสัญชาตญาณ
ทำให้ผู้ชายมีความสามารถในการตัดสินใจเด็ดขาดกว่า
รุนแรงกว่า...และก้าวร้าวกว่า...

การตัดสินใจของผู้หญิงจึงไม่รวดเร็วและฉับไวเท่ากับผู้ชาย
ซึ่งรวมถึงการตัดสินใจขณะขับขี่รถด้วย...

หนึ่งชอบมองไกล... อีกหนึ่งชอบมองกว้าง...
หนึ่งชอบนำหน้า... อีกหนึ่งชอบระวังหลัง
หนึ่งชอบคุ้มกัน... อีกหนึ่งชอบดูแล...
หนึ่งแข็งแกร่ง... อีกหนึ่งกลับอ่อนโยน...

ใครเล่าจะเก่งกว่ากัน....?
หากเราถูกสร้างมาเพื่อกันและกัน...

ผมเปิดเพจใหม่ ชื่อ "หนังสือ หลังห้อง" นะครับ
หนังสือที่เด็กเรียนหน้าห้องทั้งหลาย...อาจไม่เคยได้อ่าน....

www.facebook.com/bookfromtheback



Credit photo by:
http://www.treybailey.net/2012/04/leader-are-you-listening/

เรื่องราวของ"หัวใจ"ที่ชอบ "นินทา"


หญิงสาวผู้หนึ่ง ถามบาทหลวงว่า "การซุบซิบนินทาเป็นบาปหรือไม่"

บาทหลวงตอบกลับว่า "พ่ออยากให้ลูกกลับบ้าน หยิบหมอนหนึ่งใบ ขึ้นไปบนหลังคา แล้วเอามีดกรีดหมอนบนั้น วันต่อมาค่อย กลับมาหาพ่อ"

วันถัดมาหญิงสาวกลับมาหาบาทหลวง ท่านถามว่า "ทำตามหรือเปล่า ผลเป็นอย่างไรบ้าง"

หญิงสาวตอบ "ขนเป็ดที่ยัดในหมอนปลิวว่อนไปทั่วเลยค่ะ"

บาทหลวงพูดต่อ "ตอนนี้พ่ออยากให้ลูกกลับบ้านไป แล้วไปเก็บขนเป็ดที่กระจายออกจากหมอนกลับมาให้ครบ"

"แหม หนูคงทำไม่ได้หรอกค่ะ หนูไม่รู้ว่าขนเป็ดพวกนั้นลอยไปไหนบ้าง ลมพัดขนเป็ดกระจายไปเรื่อย" หญิงสาวพูด

"นั่นแหละลูกเอ๋ย คือ การซุบซิบนินทา !!! "

การเปรียบเทียบ การซุบซิบนินทา กับ การกระจายขนเป็ดของบาทหลวง ยิ่งในยุคปัจจุบัน ที่อัตรเร็วของลมพัดเร็วกว่าในอดีต เพราะ แค่เพียงเสี้ยววินาทีเดียวสามารถส่งต่อให้ผู้คนนับพันได้

forward mail เป็นตัวอย่างที่เห็นชัด ของ "ขนเป็ด" ที่เราปล่อยกระจายฟุ้งโดยที่เราไม่สามารถเรียกเก็บคืนมาได้

ขอขอบคุณ เรื่องราวดีๆ
จาก ความสุขที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้
โดย "ผมอยู่ข้างหลังคุณ"

by หนอนหนังสือ หลังห้อง
Facebook หนังสือ หลังห้อง

photo credit by :www.liveinternet.ru





เรื่องราวของ"หัวใจ"ที่ชอบ "นินทา"

คนที่ชอบนินทา...
จะเป็นคนที่ชอบกระซิบกระซาบ
ชอบเรื่องที่ติ่นเต้น จะสัมพันธ์กับหัวใจ

พวกนี้จะอึดอัดง่าย อดไม่ได้ที่จะพูด ชอบเรื่องซุบซิบ ชอบเรื่องตื่นเต้น
ทำให้บริเวณด้านหลังที่แนวระดับสะบักไหล่นั้นเกิดการแข็งเกร็งได้ง่าย
เพราะจุดตรงนี้มี จุดที่สัมพันธ์ อยู่คือ จุดซินซู่ และเจี๊ยะอินซู่
เชื่อมต่อกับหัวใจ และเยื่อหุ้มหัวใจ

จุดนี้ทำให้เป็นคนขี้ระแวง ไม่วางใจ ไม่ไว้ใจสิ่งใด
เพราะหัวใจไม่ผ่อนคลาย...

วิธีทำให้หัวใจผ่อนคลาย สามารถ บริหารง่ายๆ จุดนี้ได้โดย
"ทำโยคะท่างู" จะช่วยยืดคลายจุดนี้ได้มาก

"แม้องค์พระปฏิมายังราคิน คนเดินดินหรือจะสิ้นคำนินทา"

หนังสือมีมากมาย... ชั่วชีวิตคงอ่านไม่หมด
เพื่อประหยัดเวลาของกันและกัน
ผมจึงเปิดเพจใหม่ มีชื่อว่า "หนังสือ หลังห้อง"

หนังสือที่ผมจะนั่งอ่านหลังห้อง ให้ทุกๆคนฟัง

www.facebook.com/bookfromtheback

ทำไม ผู้ชายมักจะหาของไม่ค่อยเจอ


จาก เพจ หนังสือหลังห้อง
www.facebook.com/bookfromtheback
ทำไม ผู้ชายมักจะหาของไม่ค่อยเจอ

นั่นเพราะ ผู้หญิงมีสายตามุมกว้าง ผู้ชายมีสายตามุมแคบ

ในสมัยโบราณ ในฐานะนักล่า ผู้ชายต้องมีสายตาที่มองเจาะและไล่เป้าหมายระยะไกลได้ เขาจึงมีวิวัฒนาการมาพร้อมสายตามุมแคบ
ในขณะที่ผู้หญิงต้องการสายตาที่ช่วยมองมุมกว้าง เธอจะใช้คอยสอดส่องสัตว์ที่แอบเข้ามารัง นั่นคือสาเหตุที่ผู้ชายสมัยใหม่หาทางไปผับไกลๆได้สบาย แต่กลับหาของในตู้เย็นไม่เคยเจอ

จากสถิติปี 1997 ในสหราชอาณาจักร มีเด็กเสียชีวิตหรือบาดเจ็บบนท้องถนน 4,132 เป็นชาย 2,640 เป็นหญิง 1,492

ในสมองของเรา ทุกวินาทีมีโปรตอนของแสงจู่โจมจอตา หลายพันล้านตัว มากเกินกว่าสมองจะรับได้ในครั้งเดียวจึงต้องปรับลดให้เหลือแต่สิ่งที่จำเป็นเพื่อการอยู่รอด สมองของเราจะปรับสายตาให้แคบลงเพื่อจดจ่อกับเรื่องแค่บางเรื่อง

ซึ่งสมองผู้ชายที่ถูกพัฒนามาเพื่อการล่า ก็จะถูกตั้งค่าล่วงหน้าเพื่อให้เห็นภาพมุมแคบส่วนผู้หญิงก็จะถอดรหัสข้อมูลจากมุมกว้างเพราะบทบาทที่ต้องปกป้องรังในอดีต

ผู้หญิงหลายคนคงเคยมีประสบการณ์เหล่านี้

เดวิด: "ที่รัก เนยอยู่ไหน"
แจน: "ในตู้เย็น"
เดวิด: "ดูแล้ว ไม่เห็นมีเลย"
แจน: "ก็อยู่ในนั้นแหละ ฉันเพิ่งใส่เข้าไปม่ะกี๊เอง"
เดวิด: "ไม่เห็นมีเลย ไม่ได้ลืมไว้ทีอื่นใช่ป่าว"
แจน: "หาดี หรือยัง"
เดวิด: "หาแล้ว ไม่มีจริงๆ"

เมื่อเจนเดินปราดเข้ามาเปิดตู้เย็น หยิบเนยออกมาเหมือนเสกมา

หลายครั้งที่ผู้ชายไร้ประสบการณ์ มักจะกล่าวหาว่า ผู้หญิง มักจะซ่อนของต่างๆไว้ในตู้หรือลิ้นชัก เช่น ถุงเท้า รองเท้า กางเกงใน กุญแจรถ กระเป๋าเงิน

จริงๆแล้ว ทุกอย่างอยู่ตรงนั้น แต่เขามองไม่เห็นเอง

ความแตกต่างนี้มีนัยยะสำคัญในชีวิตเรา ชีวิตของผู้หญิงจะเครียดน้อยลง หากเข้าในปัญหาของผู้ชายในการมองระยะใกล้ และเมื่อผู้ชายเข้าใจ เชื่อผู้หญิงและยอมหาของในตู้เย็นต่อไป ก็จะเครียดน้อยลงเช่นกัน

ขอขอบคุณ เรื่องราวดีๆ
จาก ทำไมผู้ชายไม่รู้จักฟัง และผู้หญิงอ่านแผนที่ไม่เป็น
โดย "Allan & Barbara Pease"
แปล พลอยแสง เอกญาติ

by หนอนหนังสือ หลังห้อง
Facebook หนังสือหลังห้อง

photo credit by :www.sunshinekelly.com










ที่เป็นเช่นนี้ 
เพราะผู้ชายจะเป็นหยาง...
ผู้หญิงจะเป็นหยิน... 

สภาวะของหยาง จะแข็งกร้าว พุ่งทะยาน
ส่วนสภาวะของหยิน จะอ่อนโยน อิ่มเอิมซึมซาบ

ผู้ชายจึงมีแนวโน้ม รุนแรง เพ่งไป ไม่ค่อยแคร์ความรู้สึกรอบๆ
ผู้หญิง กลับมีแนวโน้ม อ่อนไหว รับรู้ความรู้สึกรอบๆ ่ข้างได้ดี สะเทือนใจได้ง่าย

มากกว่านั้น ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องในร่างกายที่ทำงานเกี่ยวกับความโกรธและกังวล
ยังมีผลมากน้อยต่างกันอีกด้วย

ผู้ชายจะสัมพันธ์กับ "อะดรีนาลีน"
โกรธแล้วเหมือน"ไฟไหม้ฟาง" วูบเดียวแล้วจบ...

แต่ผู้หญิงจะสัมพันธ์กับ "ไทรอกซีน"
กังวลครุ่นคิด 7วัน 7คืน เหมือน "ไฟไหม้แกลบ"
ครุกรุ่นอยู่อย่างนั้นไม่มีวันดับไปได้ง่ายๆ


หนังสือมีมากมาย... ชั่วชีวิตคงอ่านไม่หมด
ความรู้ ก็มีมากมาย... ชั่วชีวิตคงเรียนไม่หมด

เพื่อประหยัดเวลาของกันและกัน
ผมจึงเปิดเพจใหม่ มีชื่อว่า "หนังสือ หลังห้อง"

หนังสือที่ผมจะนั่งอ่านหลังห้อง ให้ทุกๆคนฟัง


"ความรู้โบราณ อายุนับพันปี
ถ่ายทอดผ่านร้อยชั่วคน
แต่บางคน...ชั่วชีวิต กลับมิเคยได้รู้..."

เคล็ดลับจากศาสตร์โบราณ เพื่อคนยุคใหม่
โดย Admin : ผีเสื้อหน้าหยก
Facebook คันฉ่องสุขภาพ

หนังสือ หลังห้อง

ทุกความรู้มีที่มา
บ้างบันทึกไว้ในตำรา
บ้างเล่าขานสืบต่อมาด้วยความจำ
นับวันความรู้ยิ่งมากขึ้น... 
แต่คนอ่านกลับมีเวลาน้อยลง...

หนังสือมีมากมาย... ชั่วชีวิตคงอ่านไม่หมด
ความรู้ ก็มีมากมาย... ชั่วชีวิตคงเรียนไม่หมด

เพื่อประหยัดเวลาของกันและกัน
ผมจึงเปิดเพจใหม่ มีชื่อว่า "หนังสือ หลังห้อง"

หนังสือที่ผมจะนั่งอ่านหลังห้อง ให้ทุกๆคนฟัง

www.facebook.com/bookfromtheback

ห้องนอนของคุณเก็บพลังได้แค่ไหน?


ซูสีไทเฮา ครอบครองแผ่นดินกว้างใหญ่
แต่เหตุไฉนที่นอนกลับเพียงแค่พอตัว...

ยามกลางวันเป็นหยาง...
ยามกลางคืนเป็นหยิน...

หยินเป็นภาวะต้องสั่งสม บ่มเพาะ
หากห้องนอนไม่เอื้อให้เก็บพลัง
นอนมาก ก็เหมือนกับ นอนน้อย...

นั่นเป็นเพราะชาวจีนถือว่า
ที่นอนต้องห่อหุ้มกายดุจรังนก
เพื่อเก็บพลังยามเรานิทรา

ห้องนอนที่ไม่ดีตื่นขึ้นมาจะล้า ตาแห้งคอแห้ง เพลีย

ข้อห้ามที่สำคัญสำหรับห้องนอน

1. สีของห้องนอนห้ามเข้มเกินไป
เพราะจะดูดกลืนพลัง
หากเป็นสีเข้มเกินไป เช่น ดำ เทา น้ำตาล
จะทำให้ชี่ธาตุน้ำเด่น ส่งผลให้ธาตุไฟในตัวถูกข่มไว้
ถือว่าทำลายความตั้งใจ จะนอนทั้งวัน
กลับกลายเป็นคนขี้เกียจได้

2. สีห้องนอนห้ามอ่อนเกินไป
หากเป็นสีอ่อนมากไป เช่นสีขาวโพลน
จะสะท้อนพลังจนสิ้น
จะทำให้ร่างกายล้าง่าย ดูเหมือนเวิ้งว้าง
เหมาะสำหรับห้องที่แคบ แต่ก็ไม่เหมาะกับห้องนอนนัก
เพราะเหมือนนอนอยู่กลางแจ้ง
(เหมือนในห้างสรรพสินค้า เขาจัดไฟส่องจ้า แวววาวไปหมด
ทำให้เราสูญเสียชี่ในตัว ทำให้ตัดสินใจง่าย จ่ายเงินเร็ว
บางคนทำงานในห้างนานๆ จะล้า เพราะความสว่างจ้าของสถานที่)

3. ห้ามแอร์พัดลงเท้า จะเสียพลังชี่ทางปลายเท้า
ไตจะอ่อนแอ ควรใส่ถุงเท้านอน และทำให้อบอุ่น
ยิ่งอายุมากจำเป็นอย่างยิ่งต้องเก็บพลังไว้เพื่อดูแลตนเอง

หากตื่นมาแล้วเพลีย
แนะนำแง้มหน้าต่างไว้สักนิดเพื่อให้อากาศถ่ายเทบ้าง
เพราะยิ่งห้องเล็ก อากาศจะยิ่งน้อย
คาร์บอนไดซ์ออกไซด์จะสะสมในตัวมากขึ้นเรื่อยๆ
หากมากเกินไปเลือดจะเป็นกรด
ทำให้ร่างกายเสื่อมเร็ว
ต้องแง้มหน้าต่างเอาไว้บ้าง เพื่อให้ลมระบายได้ดี

หากเป็นผิวแห้ง คอแห้ง
หาใบเตยสักกำใส่ไว้ในห้องนอนเพื่อเพิ่มความชุ่มชื่น

สุดท้ายแนะนำเคล็ดลับดูแลบุตรหลานเพิ่มเติม
หากไม่อยากให้ลูกดื้อ หรือหนีเที่ยว ให้ว่านอนสอนง่าย
ต้องให้ลูกนอนเตียง สี่เสาตั้งแต่เด็ก
เด็กจะอยู่ติดที่... ไปที่ไหนมักไม่คุ้น
เพราะไม่มีเสาทั้งสี่คอยห้อมล้อม
จะรู้สึกไม่ปลอดภัย...
ทำให้ต้องรีบกลับมาบ้าน
เหมือนนกน้อย ต้องรีบกลับรัง..ยามตะวันคล้อยตกดิน

"พลังงานในกายมีจำกัด มักจะพร่องอยู่สมอ
เก็บน้ำไว้ในอุ้งมือ ยังง่ายดายกว่ายิ่งนัก..."



เขียนโดย ผีเสื้อหน้าหยก

ติดตามอ่านบทความย้อนหลังได้ที่
facebook คันฉ่องสุขภาพ

credit photo : www.freegamesnews.com